ที่มา ประชาไท หากพิจารณาจากการระดมสรรพกำลังมหาศาล ทั้งด้านกำลังคนและงบประมาณ รวมถึงยุทธปัจจัยอื่นๆ เช่น รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ สามล้อ ไม้รวก พริก เขือ เกลือ ปลาร้า และ ฯลฯ ในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ใช้เวลาเกือบจะครบ 3 เดือน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุปนเปื้อนมลพิษในเมืองหลวง และการเสี่ยงชีวิตจากทั้งกองกำลังทหาร ตำรวจ (และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย) ทั้งนับรวมกับ 27 ชีวิตที่สูญเสียไป เกือบ 1,000 คนที่บาดเจ็บ และอาจมีบางคนที่พิการรวมทั้งการผลิตสร้างภาพลักษณ์ของมวลชนเสื้อแดงที่ดูป่าเถื่อน นิยมความรุนแรง น่าเกลียดน่ากลัวราวกับ “เชื้อโรคแดง” (สำนวนของ ธงชัย วินิจจะกูล) ที่คุกคามความสงบสุขและเศรษฐกิจของคนกรุงเทพฯ แทบจะเรียกได้ว่าผลอันเป็นรูปธรรมแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่พ่ายแพ้เพราะว่า สังคมไม่เอาด้วยกับวาระ “ไพร่ล้มอำมาตย์” หรือข้อเสนอ “ยุบสภาเลือกตั้งใหม่” หรือ การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรม หรือการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทุกด้านในสังคม แต่พ่ายแพ้เพราะไม่อาจอธิบายให้สังคมเข้าใจได้อย่างสมเหตุสมผลว่า ทำไมการต่อสู้ครั้งนี้จึงนำไปสู่ “สงครามที่ไม่จำเป็น” และ “การสูญเสียที่ไม่จำเป็น” แม้สงครามที่ไม่จำเป็นและการสูญเสียที่ไม่จำเป็นจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลก็อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมจึงปล่อย หรือเสมือนจงใจให้เกิดขึ้น แต่ในฐานะผู้เริ่ม “เปิดเกม” คุณทักษิณและแกนนำเสื้อแดงย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อยุทธวิธีที่ผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม ในความพ่ายแพ้เชิงยุทธวิธีนั้น ไม่ได้หมายความว่า “ยุทธศาสตร์”ของคนเสื้อแดงต้องพ่ายแพ้ไปด้วย จะเห็นได้ว่าข้อเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ และการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้น ไม่มีฝ่ายใดปฏิเสธ แม้แต่แผนปรองดอง 5 ข้อ ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังมีวาระการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่ด้วย เขาจะจริงใจหรือไม่ รายละเอียดจะตรงกับความคิดของคนเสื้อแดงทั้งหมดหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องถือว่านี่เป็น “ชัยชนะทางความคิดก้าวแรก” ของคนเสื้อแดง การที่คนเสื้อแดงสามารถทำให้รัฐบาล คนทุกสี ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนของสังคม มองเห็นตรงกันว่า การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็น “วาระ” ที่จำเป็นในการแก้ปัญหาของประเทศ ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของคนเสื้อแดง แม้จะเป็นชัยชนะที่เป็นนามธรรม แต่ก็เป็นนามธรรมที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการทำให้คนทั้งสังคมยอมรับความคิดดังกล่าว ส่วนรายละเอียดเชิงความคิดและแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กันต่อไป ฉะนั้น เมื่อพิจารณาจาก “ชัยชนะทางความคิดก้าวแรก” ดังกล่าว สิ่งที่แกนนำเสื้อแดงควรตัดสินใจเดินต่อไป คือการทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องยุทธศาสตร์ความต้องการประชาธิปไตยและการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป ด้วยการ... 1. อย่าเดินตามพันธมิตรฯ ด้วยการปฏิเสธแผนปรองดองของอภิสิทธิ์ เพราะจะเท่ากับเป็นการสกัดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ให้เข้าไปสู่กระบวนการถกเถียง และการหาทางออกร่วมกันของคนทั้งสังคม พันธมิตรฯ ต้องการทำลายเครดิตในยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ของคนเสื้อแดง เขาจึงประณามแผนปรองดอง และยกเรื่องล้มเจ้า การก่อการร้ายขึ้นมาเป็นจุดเน้นเพื่อทำลายยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดง วิธีคิดของพันธมิตรฯ คือ เขาต้องการ “ผูกขาด” การกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ เพราะถือว่าเสียสละตัวเองต่อสู้กับทักษิณมามากเหลือเกิน เขาจึงควรได้เป็น “พระเอก” ในการกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงสังคม ดังจะเห็นได้จากท่าทีของพวกเขาต่อภาคส่วนต่างๆ ของสังคมที่ออกมาเสนอทางออกต่างๆ ว่า พวกเหล่านั้นมักเป็น “พวกตีกิน” คนเสื้อแดงไม่จำเป็นต้องเดินตามวิธีคิดแบบ “ผูกขาด” ของพันธมิตรฯ ในเมื่อยุทธศาสตร์คือต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่มีความเป็นธรรม/ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การที่เราทำให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้กลายเป็น “วาระ” ที่ทุกภาคส่วนของสังคมเห็นความสำคัญ และต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำให้เป็นจริง ย่อมถือว่าเป็นชัยชนะก้าวแรก ที่ก้าวต่อไปคนเสื้อแดงต้องผลักดัน “แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม” ให้สังคมร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ 2. คนเสื้อแดงต้องปรับยุทธวิธีเน้นชัยชนะทางความคิดด้วยการใช้เหตุผลมากขึ้น วิธีประณามฝ่ายตรงข้าม เพื่อกระตุ้นความสะใจ ความเกลียดชัง น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ต้องให้มวลชนได้หยุดพัก แต่ยังมั่นคงด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรมมีสติเก็บรับความผิดพลาดที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ต้องให้แกนนำระดับชุมชนหมู่บ้านดำรงเป้าหมายในการต่อสู้และเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง 3. พรรคการเมืองของคนเสื้อแดงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั้งในเรื่องนโยบายและตัวบุคคล โดยเฉพาะนโยบายต้องแสดงให้เห็นรูปธรรมของการออกแบบกติกาประชาธิปไตย และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของความไม่เป็นธรรม ต้องให้สัญญาประชาคมว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะทำเรื่องการออกแบบกติกาประชาธิปไตยและแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมก่อน (เมื่อทำ 2 เรื่องนี้สำเร็จและสังคมยอมรับ การแก้ปัญหาคุณทักษิณอาจง่ายขึ้น) กล่าวโดยสรุป แม้ยุทธวิธีจะพ่ายแพ้ แต่ยุทธศาตร์ที่ต้องการประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรม/ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ชนะใจคนทุกภาคส่วนของสังคม คนเสื้อแดงจึงมีสิทธิ์จะประกาศชัยชนะเชิงยุทธศาสตร์ และยุติการชุมนุมอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อสู้ต่อให้ยุทธศาสตร์ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมกลายเป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศต่อไป!