เหล็กใน
เหตุการณ์ยิงถล่มเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 7 ต่อเนื่องวันที่ 8 พ.ค.
คือสัญญาณกระตุ้นให้รัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดงต้องเร่งตัดสินใจที่จะร่วมกันเดินหน้ากระบวนการสร้างความปรองดองให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ถ้ายิ่งช้าเพราะมัวแต่ตั้งแง่ใส่กันก็ไม่รู้จะเกิดการสูญเสียซ้ำซากขึ้นอีกหรือไม่
ยิ่งตอนนี้มีคนมากหน้าหลายตาออกมาแสดงความเห็นกันมากต่อแผน "โรดแม็ป" ของนายกฯอภิสิทธิ์
เหมือนทุกเรื่องในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
กรณีโรดแม็ปนี้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้ก่นประณามด่าทอนายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างรุนแรง
บางกลุ่มบางพวกถึงขนาดไล่ตะเพิดให้ลาออกไปก็มี
ลำพังการใช้คำพูดด่าทอกันอาจรุนแรงไปบ้างก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าถึงขั้นลงไม้ลงมือใช้อาวุธปืนหรือระเบิดตอบ โต้กันแทนคำพูด ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายก็คงไม่ไหว
ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก
คู่ขัดแย้งหลักคือรัฐบาลและกลุ่มเสื้อแดงจำเป็นต้องตกลงกันให้ได้ด่วนจี๋
เกี่ยวกับเรื่องวันยุบสภา นายกฯ อาจต้องถอยอีกนิด
พูดให้ชัดไปเลยว่าจะยุบสภาวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทำได้หากจะต้องเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.
แล้วอาจต่อท้ายอีกหน่อยว่าถ้ากระบวนการสร้างความปรองดอง 5 ข้อเป็นไปอย่างราบรื่น
รัฐบาลจัดทำแผนงบประมาณปี"54 รวมถึงโยกย้ายข้าราชการได้เรียบร้อยก่อนกำหนด
ก็อาจจะยุบสภาได้เร็วกว่า 30 ก.ย.ก็เป็นไปได้
พูดเท่านี้น่าจะจบ
กลุ่มเสื้อแดงก็เหมือนกัน การตั้งแง่ตั้งง่ามก็ควรแค่หอมปากหอมคอ
เรื่องที่กลัวว่านายกฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลจะไม่รักษาสัญญานั้น
พอเข้าใจได้อยู่
แต่การจะปักหลักชุมนุมยืดเยื้อออกไปอีกก็ไม่แน่ว่าสังคมที่เคยเข้าใจ อาจเปลี่ยนมาเป็นไม่เข้าใจก็ได้
ส่วนเรื่องว่าถ้าประชาธิปัตย์ถูก "ยุบพรรค" แล้วจะมีผลให้โรดแม็ปที่จะนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ต้องเป็นโมฆะ
เป็นเรื่องอนาคตต้องไปว่ากันอีกที
มาคิดกันตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้ามันจะไม่จบ
อย่าว่าแต่เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่เสื้อแดงต้องกังวล
แต่เป็นเรื่องที่พรรคเก่าแก่กว่า 60 ปีอย่างประชาธิปัตย์เองต้องกังวลมากกว่า
เสื้อแดงตอนนี้จึงควรลงจากเวทีไปก่อน