เปิดศักราชใหม่ 2551
สถานการณ์การเมืองยังเต็มไปด้วยความร้อนแรง
หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้สำแดงฤทธิ์เดช แจกใบเหลือง 3 ว่าที่ส.ส.นครราชสีมา เขต 3 พรรคพลังประชาชน
ประกอบด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง นางลินดา เชิดชัย และนายบุญเลิศ ครุฑขุนทด
โดยประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม
ตามมาด้วยรายการแจกใบแดง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 3 ว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน
ได้แก่ นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน นายรุ่งโรจน์ ทองศรี และนายประกิจ พลเดช
พร้อมทั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันเสาร์ที่ 19 มกราคม
และล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ลอตแรก 397คน ไม่ประกาศรับรอง 83 คน
แบ่งเป็นการประกาศรับรองผล ส.ส.ระบบสัดส่วน 76 คน
ไม่รับรอง 4 คน ได้แก่
นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 1 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ และนายธนเทพ ทิมสุวรรณ ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 3 จากพรรคพลังประชาชน และนายไพฑูรย์ แก้วทอง ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 2 พรรคประชาธิปัตย์
โดยทั้งหมดโดนข้อกล่าวหาแจกทรัพย์สินและแจกเงิน ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ส่วน ส.ส.ระบบเขต มีการประกาศรับรองผล 321 คน
ไม่ประกาศรับรอง 79 คน แบ่งเป็นว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน 62 คน พรรคประชาธิปัตย์5 คน พรรคชาติไทย 4 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 6 คน พรรคมัชฌิมาธิปไตย1คนและพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 1 คน
โดยว่าที่ ส.ส.ที่ กกต.ยังไม่ประกาศรับรองผล จะต้องรอ กกต.พิจารณาสำนวนเรื่องร้องเรียนและร้องคัดค้าน
ก่อนลงมติชี้ขาดต่อไปว่าจะแจกใบขาว ใบเหลือง หรือใบแดง
แน่นอน ผลจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งควักใบแดงใบเหลืองแจกว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนในครั้งนี้
ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากพรรคพลังประชาชนอย่างหนัก
โดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ถึงขั้นออกมาโวยในทำนองว่า มีมือสกปรกเข้ามาแทรกแซงการทำงานของ กกต. มีความพยายามจากคนนอกที่ต้องการจะขัดขวางพรรคพลังประชาชน
ในขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ก็ออกมาสำทับว่า
นายตำรวจจากสันติบาลที่เข้าไปช่วยงานทำหน้าที่เป็นประธานอนุกรรมการ สืบสวนสอบสวนการทุจริตเลือกตั้งของ กกต. วางตัวไม่เป็นกลาง
พุ่งเป้าถล่ม ดิสเครดิต กกต.
และก็ให้บังเอิญว่า ในห้วงระหว่างที่คณะกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 5 คน ที่ประกอบด้วย
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง
นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน
กำลังพิจารณาสำนวนเรื่องร้องเรียนและร้องคัดค้านผลการเลือกตั้ง เพื่อลงมติแจกใบเหลืองใบแดงชุดแรก
เกิดมีอาการระหองระแหงปรากฏออกมาให้เห็น
โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของนางสดศรีที่แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับ การทำสำนวนของฝ่ายสืบสวนสอบสวน ที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายสมชัย มีความล่าช้า
ในขณะที่การลงมติแจกใบแดงว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน กกต.ลงมติกันเพียง 4 คน
เนื่องจากนายสมชัยไม่ได้ อยู่ร่วมลงมติ
แม้การลงมติแจกใบ แดงในครั้งนี้ จะมีผลโดยสมบูรณ์ตาม กฎหมายที่กำหนดให้ต้องใช้เสียงลงมติ 4 ใน 5
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า
5 เสือ กกต. ไม่มีความเป็นเอกภาพในการทำงาน
ทำให้ถูกสังคมมองด้วยความไม่มั่นใจว่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะรักษา ความเที่ยงธรรมในการตรวจสอบการเลือกตั้งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมได้หรือไม่
ยิ่งในสถานการณ์ที่ขั้วหนึ่งได้เปรียบจากผลการเลือก ตั้งที่ออกมา ก็ต้องการที่จะรักษาความได้เปรียบในจำนวนตัวเลขว่าที่ ส.ส. เอาไว้
ในขณะที่อีกขั้วหนึ่ง ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นรอง ก็อยากให้ขั้วที่ได้เปรียบมีใบแดงใบเหลืองมากๆ
เพื่อลดความได้เปรียบของขั้วตรงข้าม ให้มาอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
สถานการณ์แห่งการช่วงชิงกันตรงนี้ จึงทำให้แรงกดดันจากทั้ง 2 ขั้วพุ่งไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เต็มๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ในการเลือกตั้งเดินมาถึงจุดนี้
“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ขอบอกว่า โดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต้องการให้ กกต.เข้ามาทำหน้าที่ในการดูแลจัดการเลือกตั้งและควบคุม การเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
เพื่อกำจัดการใช้วิชามาร ซื้อสิทธิ ซื้อเสียง โกงเลือกตั้ง ที่เป็นต้นเหตุสำคัญของวงจรอุบาทว์ทางการเมือง
ใช้เงินซื้อเสียง ซื้อตำแหน่ง เข้ามาถอนทุน หาเงินตุนไว้ซื้อเสียงงวดหน้า
ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอรัปชัน ทำให้ประเทศต้องประสบภาวะวิกฤติ ทั้งวิกฤติการเมืองและวิกฤติเศรษฐกิจ
ดังนั้น ภารกิจหลักของ กกต. ก็คือ ปราบวิชามารทุจริตเลือกตั้ง ทำให้การเมืองสะอาด
ด้วยเหตุนี้ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเลือกตั้ง จึงได้ให้อำนาจ กกต.เอาไว้อย่างมากมาย
พูดง่ายๆว่า มอบดาบอาญาสิทธิ์ไว้สำหรับฟันนักการ เมืองที่ทุจริตการเลือกตั้งโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีเขตอำนาจภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง
ในการที่จะแจกใบเหลืองใบแดงแก่ผู้สมัคร ส.ส. ที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าทุจริตทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ แต่ต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นชอบ
โดยเขตอำนาจดังกล่าวจะครบกำหนดในวันที่ 22 มกราคมนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นจากเขตอำนาจ 30 วันไปแล้ว ในช่วงไม่เกิน 1 ปี กกต.ก็ยังมีสิทธิตามสอย ส.ส.ที่พบหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งออกจากตำแหน่งได้ แต่ต้องส่งเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย
สถานการณ์ของ กกต.ในวันนี้ จึงมีสภาพเหมือนอยู่ ระหว่างเขาควาย อยู่ระหว่าง 2ขั้วการเมืองที่กำลังช่วงชิงอำนาจรัฐ
ขั้วพรรคพลังประชาชนไม่อยากโดนลดแต้ม ขั้วพรรคประชาธิปัตย์อยากเพิ่มแต้ม
ประกอบกับภายใน กกต.มีร่องรอยความขัดแย้งให้เห็น ถึงขั้นมี กกต.บางคนส่ออาการถอดใจไม่เข้าประชุมลงมติแจกใบแดง
ขณะเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาระบุว่า จะมีการแจกใบแดงประมาณ 67 ใบ
ก็เลยยิ่งทำให้ กกต.ถูกระแวงว่า มีมือสกปรกเข้ามาบงการเพื่อให้ลดยอดว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน เปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลแข่ง
นี่คือสถานการณ์ที่ กกต.กำลังเผชิญ
ที่สำคัญ การที่นักการเมืองยกประเด็นใบแดงใบเหลืองตอบโต้กันไปมา เพื่อรักษาความได้เปรียบในสมการตัวเลข ช่วงชิงกันเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล
ปรากฏการณ์เหล่านี้ ถือว่าเป็นธรรมชาติของการเมือง
อย่างไรก็ตาม ทีมของเราขอบอกว่า ในสภาพความเป็นจริงของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องการซื้อเสียงยังดำรงอยู่
ถึงขั้นมีการพูดกันว่า ใช้เงินกันเป็นหมื่นล้านบาท
ถ้าสังคมยอมรับว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีการซื้อเสียง ยังมีการใช้วิชามารทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ก็ควรปล่อยให้ กกต.ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตเลือกตั้งอย่างเต็มที่ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่ กกต.ทั้ง 5 คน ก็ต้องทำหน้าที่อย่างตรง ไปตรงมา ใช้ความเที่ยงธรรมในการพิจารณาสำนวนร้องเรียนและร้องคัดค้าน
เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม
ทำให้องค์กร กกต. เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนได้อย่างแท้จริง
อย่าให้ใครมาพูดได้ว่า “กกต.ชุดนี้เป็นของเขา” หรือ “กกต.ชุดนี้เป็นของเรา”
แน่นอน ในการทำงานของ กกต. จำเป็นต้องพึ่งบุคลากรจากหน่วยงานรัฐอื่นๆเข้ามาเสริม ทำให้เป็นเงื่อนไขที่ถูกเพ่งเล็งในเรื่องของความเป็นกลาง
แต่ในความหลากหลายของบุคลากรที่เข้ามาช่วยงาน กกต. ก็จะทำให้เกิดการตรวจสอบกันเองไปในตัว
เหนืออื่นใด แม้สำนวนเรื่องร้องเรียนจะถูกชงขึ้นมาจากผู้ปฏิบัติระดับล่าง แต่สุดท้าย กกต.ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการวินิจฉัยลงมติ
ดังนั้น กกต.ทั้ง 5 คน ต้องใช้หลักกฎหมายด้วยความเที่ยงธรรม
ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก
อย่าปล่อยให้กระแสกดดันใดๆจากภายนอก มาบั่นทอนการทำหน้าที่เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
ถ้า กกต.ถอดใจ ไม่ยึดหลักการตรงนี้
ก็เท่ากับ
ปล่อยให้คนไม่ดี เข้ามาปกครองบ้านเมือง.
“ทีมการเมือง”