เมื่อเวลา 08.30 น. วันเดียวกัน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้กล่าวผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ตอนหนึ่งถึงกรณีที่คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์การขึ้นราคาน้ำตาลของรัฐบาล โดยระบุว่านายสมัครรับเงินจากการขึ้นราคาน้ำตาล 500 ล้านบาทว่า มีการว่ากล่าวว่ามีส่วนได้เสีย หาว่าเป็นคนไม่เต็มบาท เพราะเกิดรู้ดีว่าการขึ้นราคาต้องขึ้นตอนเข้าโรงหีบ ขึ้นตามฤดูการผลิตอ้อย แต่มาขึ้นตอนน้ำตาลตกอยู่ในมือพ่อค้า กำไรก็จะอยู่ในมือพ่อค้า สมองเกินบาท หากินกับพ่อค้าน้ำตาล ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เพราะน้ำตาลจะอยู่ที่โรงงาน คุมโดยโรงงาน เมื่อขายกำไรจะอยู่ที่โรงงาน และโรงงานต้องนำเงินไปใช้หนี้เงินกู้ 17,000 ล้านบาท หนังสือพิมพ์บางฉบับบอกว่ารายการนี้ล่อไป 500 ล้าน ตำหนิว่าหากินกับน้ำตาล ใครจะว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ บอกได้ เลยว่าถ้าหากหากินกับน้ำตาล ไปยุ่งเกี่ยวได้มาสักบาทเดียว ต้องให้มีอันเป็นบรรลัยวายวอดทั้งวงศ์ตระกูล อย่าได้มีความเจริญในบ้านเมืองนี้อีกต่อไปเลย แต่ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปแตะต้องสักบาทเดียว ทำเพื่อบ้านเมืองเพื่อคนที่ปลูกอ้อย ก็ขอให้คนเขียนคอลัมน์มีอันเป็นไป ขอให้บรรลัยวายวอดกันทันตาเห็นไปเลย โต้ “ธีรยุทธ” ทำขนมเบื้องด้วยปาก “ผมทำให้ไม่ได้ทำเอา ถ้าไม่ตัดสินใจตอนนี้จะไปทำตอนไหน ผมไม่นั่งรอเพราะรู้ว่าวงจรเขาควบคุมถึงไม่ว่าจะขึ้นราคาเวลาไหน เงินจะอยู่ที่โรงงานน้ำตาลที่คุมสต๊อกกันอยู่ ถ้ารอถึงฤดูหีบอ้อยในเดือน พ.ย. นายกฯอาจจะไม่ได้ชื่อนายสมัครก็ได้” นายสมัครกล่าวและว่า กรณีที่นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนั้น ไม่กล้าว่านายธีรยุทธเป็นโรคจิตหรืออะไร แต่จะพูดแบบสำนวนไทยสบายๆธรรมดา คือคนที่พูดจาว่ากล่าวเขาข้างเดียวอย่างนี้ สำนวนโบราณเขาเรียกว่า เป็นคนประเภทละเลงขนมเบื้องด้วยปาก ไปดูที่หน้าวัดมหรรณพฯก็ได้ ลองไปยืนจะเห็นว่าไม่เห็นจะยากเย็นเลย แต่แม่ค้าที่ทำเขาละเลงมาตลอดครึ่งค่อนชีวิต ถึงมีสำนวนไทยที่ไอ้คนสักแต่พูดๆอย่างนั้น เขาเรียกว่าละเลงขนมด้วยปาก นายธีรยุทธก็ประเภทนี้ ส่วนบรรดาสื่อสารมวลชนที่วิจารณ์กันเอิกเกริกกันใหญ่ ขอประทาน โทษ ไม่ลงไปเล่นด้วยหรอก เชิญกันตามสบายเถอะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีความเก่งกาจ เป็นนายกฯคนแรกที่แสดงความเก่งกาจ เล่นเอาวงการสื่อสารมวลชนต้องทำกิจกรรมอะไรต่างๆเอาไปโขกไปว่ากล่าวเสียหาย ว่าคนพวกนี้ไม่ย้อนดูตัวเอง ยันไม่มียุบ “สนทนาประสาสมัคร” นายสมัครกล่าวต่อว่า มาเป็นนายกฯ 3 เดือน คนพวกนี้เขียนดุด่าว่ากล่าว กระทบกระแทกแดกดันเท่าไหร่ มีการออกเสื้อสีขาวติดเสื้อสีขาว ติดป้ายยืนเกาะรั้วทำเนียบรัฐบาล ถ่ายรูปเหมือนกับเข้าทำเนียบฯไม่ได้ บอกว่าคุกคามสื่อเท่ากับคุกคามประชาชน และกล่าวหาเลยว่าไม่เคยมียุคไหนเลยที่นายกฯ และรัฐบาลคุกคามสื่อได้ ขนาดนี้ ทำไมปากคนปากเดียวถึงเก่งได้ขนาดนี้ ทำให้ วงการสื่อสารมวลชนตื่นเต้นกันขนาดนี้ การคุกคามนั้นต้องสั่งปิด นสพ.ตำรวจจับเอาไปขังโดยไม่มีเหตุผล สั่งไม่ให้เขียนบทความ แต่ตอบคำถามตามแบบของตนเท่านั้นเป็นเรื่อง ชุมนุมกันฟังดูแล้วน่าขำ เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ไม่เคยคิดเลยว่าไอ้คนธรรมดาคนหนึ่ง วันหนึ่งมาเป็นนายกฯก็พูดจาอย่างเคยเป็น คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหาย ออกข่าวไปทั่วโลกคุกคามสื่อ ก็นั่งดูและประกาศยุติการพูดเอง คิดว่าไม่พูดก็ไม่มีเรื่องยิ่งดีใหญ่ ต่างคนต่างอยู่ ก็มีรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ใครจะกระแนะกระแหนอย่างไรรายการนี้ก็ไม่เลิก คนทั้งบ้านทั้งเมืองอยากฟัง ใครไม่อยากฟังก็ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ต้องฟัง เพราะต้องพูดให้ราษฎรเข้าใจเรื่องต่างๆ อ่านรายละเอียด ไทยรัฐ