ดีเอสไอ พบหลักฐานชัดมัด กกต. ไม่หลุด ทั้ง ใบสั่งพิมพ์บัตร – ใบสั่งซื้อกระดาษจำนวนมาก ส่อพิรุธโรงพิมพ์รับงานจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งก่อนประกวดราคาเสร็จสิ้น ด้าน “ธาริต” เผยมูลค่าวงเงินรวมสูงกว่า 130 ล้านบาท ยันมีอำนาจสอบเต็มที่ เตรียมสรุปหลักฐานถึงมือ รก.ปลัดยุติธรรม วันนี้ ยังกังขายื้อเพื่ออะไร ขณะที่ กกต. ปัดตั้งแง่ ท้าไม่กลัวถูกตรวจสอบ วอนหยุดให้ข่าวทำองค์กรเสียหาย หลังจากเกิดเป็นข้อพิพาทระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถึงอำนาจในการสอบคดีฮั้วประมูลและทุจริตพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ของ กกต. โดยตลอดที่ผ่านมา กกต. พยายามหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาเป็นข้ออ้าง ส่งผลให้การสอบสวนในคดีดังกล่าวเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจาก กกต. เท่าที่ควร โดยเฉพาะในเรื่องของเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนั้น
ล่าสุดทางดีเอสไอ ได้ส่งเอกสารหลักฐานและข้อมูลสอบสวนเบื้องต้นในคดีดังกล่าวให้กับ นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาแล้ว โดยยืนยัน ดีเอสไอ สามารถสอบสวนและทำคดีได้ เนื่องจากมีข้อกฎหมายเปิดช่องไว้ อีกทั้งยังพบหลักฐานระบุถึงการจัดซื้อจัดจ้างของ กกต. มีมูลค่ารวมกว่า 130 ล้านบาทด้วย
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ว่า ทางดีเอสไอได้ชี้แจงให้นายกิตติพงษ์ ทราบถึงอำนาจในเรื่องที่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเข้าข่ายตามกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำหนดให้ดีเอสไอมีอำนาจดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งระบุไว้ว่า หากมีการจัดซื้อจัางอยู่ในวงเงินงบประมาณแผ่นดินเกิน 100 ล้านบาทแล้ว ทางดีเอสไอมีอำนาจเต็มที่ในการดำเนินการสอบสวน
ทั้งนี้ ดีเอสไอมีหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ได้ว่า กกต. มีการจัดซื้อจัดจ้างในจำนวนเงินมากถึง 130 ล้านบาท ซึ่งระบุชัดเจนอยู่ในใบประกวดราคาการจัดซื้อจัดจ้าง ที่มี นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. เป็นผู้ประกาศจัดซื้อ ถึงแม้ว่าต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อจัดจ้าง โดยแบ่งแยกโรงพิมพ์ ซึ่งในแต่ละรายมีวงเงินไม่ถึง 100 ล้านบาท แต่ตรงนี้ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ เพราะโดยความจริงแล้ว คดีนี้ต้องพิจารณาตามเจตนาหลักในการจัดซื้อจัดจ้างในวงเงินรวมตามที่กำหนดเอาไว้
ดังนั้น ดีเอสไอจึงมีอำนาจชอบธรรมสามารถเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ได้ ทั้งนี้ ทางรองปลัดกระทรวงยุติธรรมเมื่อได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็มีความเห็นตรงกันว่าได้ทำถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อความสบายใจของแต่ละฝ่าย จะได้เชิญ กกต. ให้ส่งที่ปรึกษาเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย หลังจากเข้าพบ เลขาธิการ กกต. และทาง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีดีเอสไอ ได้เชิญให้ กกต. มาเข้าร่วมในการสอบสวนแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
“ก่อนนนหน้านี้ ดีเอสไอได้ทำหนังสือขอความร่วมมือ กกต. จัดส่งหลักฐานเอกสารมาให้ตรวจสอบก็มีอาการนิ่งเฉย ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงยังไม่ดำเนินการตามที่ร้อง ส่วนตัวผมพร้อมเสมอที่เข้าไปชี้แจงให้ กกต.ทราบถึงขอบข่ายอำนาจหน้าที่ แต่ขณะเดียวกันก็อยากให้ กกต. พร้อมมอบหลักฐานมาให้ตรวจสอบด้วยเช่นกัน ท่าทีของ กกต. มีแต่ข้อโต้แย้งในเรื่องอำนาจ” รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าว
ด้าน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม เห็นในเรื่องนี้เช่นกันว่า ดีเอสไอมีอำนาจสอบสวนคดีทุกคดีที่มูลค่าความเสียหายเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งคดีทุจริตพิมพ์บัตรเลือกตั้งเบื้องต้นมีมูลค่าความเสียหาย 135 ล้านบาท
ขณะที่ แหล่งข่าวระดับสูงในดีเอสไอ ระบุถึงความคืบหน้าในการสอบสวนคดีดังกล่าว พบมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า มีการสั่งให้อนุมัติพิมพ์บัตรเลือกตั้งก่อนที่กระบวนการในการประมูลจะสิ้นสุด โดยในช่วงที่ดีเอสไอดำเนินการตรวจสอบหาหลักฐานที่โรงพิมพ์ในแต่ละแห่งนั้น ได้ตรวจพบเอกสารที่มีการสั่งให้ดำเนินการในขั้นตอนสายการผลิตล่วงหน้า อีกทั้งยังพบใบรายการสั่งซื้อกระดาษที่ใช้สำหรับพิมพ์บัตรเลือกตั้งจำนวนมากอีกด้วย โดยสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดก่อนที่จะมีการพิจารณาประมูลเรื่องการจัดจ้างจัดซื้อจะแล้วเสร็จ
“หลักฐานเหล่านี้บ่งชี้ได้ว่ามีการทุจริตและฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้งอย่างแน่นอน และเป็นหลักฐานที่ยืนยันให้รู้ถึงว่าโรงพิมพ์ดังกล่าวจะได้รับการสั่งให้พิมพ์บัตรเลือกตั้ง ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างตรวจสอบหาตัวผู้ที่ดำเนินการสั่งให้โรงพิมพ์ จัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งล่วงหน้า เพื่อนำตัวมาสอบสวนและขยายผลต่อไป” แหล่งข่าวระบุ และว่า ในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ ทางดีเอสไอจะมีการสรุปเรื่องทั้งหมดส่งให้รองปลัดกระทรวงยุติธรรมรับทราบ
อย่างไรก็ดี มีรายงานข่าวออกมาก่อนหน้านี้เช่นกันว่า หลังจากพนักงานสอบสวนของดีเอสไอได้เข้าสอบปากคำพยานบุคคลหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การจัดส่งบัตรเลือกตั้งไปยังหน่วยเลือกตั้งต่างๆ และการเก็บรักษาบัตรเลือกตั้ง พบพยานเอกสารซึ่งส่อถึงพฤติการณ์ว่า อาจจะมีการฮั้วประมูลเกิดขึ้นโดยในระหว่างที่ขั้นตอนการประมูลจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์บัตรเลือกตั้งยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการ โรงพิมพ์ของเอกชนได้จัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งรอไว้ก่อนแล้ว คล้ายกับรู้ล่วงหน้าว่าจะได้รับงานดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นการประสานสั่งการล่วงหน้าเพื่ออะไรบางอย่าง
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี รักษาการอธิบดีดีเอสไอ จะเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าวในสัปดาห์หน้า
ในอีกด้านหนึ่ง นายสุทธิพล เลขาธิการ กกต. กล่าวชี้แจงว่า การที่ กกต.ประสานขอหารือกับทางดีเอสไอไม่ได้เป็นการตั้งแง่ หรือกลัวถูกตรวจสอบ แต่เป็นเรื่องของหลักการที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะเป็นความเกี่ยวข้องระหว่างหน่วยงานที่เป็นฝ่ายบริหารและองค์กรอิสระ เพื่อไม่ให้เป็นการแทรกแซง ทั้งนี้ ยังเห็นด้วยกับการที่นายกิตติพงษ์ รักษาการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม จะเข้ามาประสานความร่วมมือ และหาข้อยุติให้กับเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ เลขาธิการกกต.ยังขอความร่วมมือกับดีเอสไอ ให้ยุติการนำเสนอข่าวในระหว่างที่คดียังไม่ยุติ เพราะจะส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ กกต.
ส่วนความคืบหน้าที่ กกต.มีมติให้สำนักกฎหมายและคดีของ กกต.ตรวจสอบว่า ดีเอสไอมีอำนาจในการตรวจสอบการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งหรือไม่นั้น ตนได้ลงนามตามมติของกกต. เพื่อส่งไปยังดีเอสไอว่า ดีเอสไอไม่มีอำนาจตรวจสอบ
“คิดว่าจุดมุ่งหมายทั้งดีเอสไอ และ กกต.เหมือนกัน คือต้องการจัดการคดีทุจริตเลือกตั้ง แต่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายถือเป็นอำนาจของ กกต. ก็ควรจะปล่อยให้ กกต.ดำเนินการต่อไป ส่วนกรณีฮั้ว เป็นเรื่องของ สตง. (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) และ ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) แต่ถ้าดีเอสไอเข้าใจว่าตนเองมีอำนาจ ก็ขอให้ไปทบทวนเรื่องวงเงินของสัญญาแต่ละฉบับ และบัตรเลือกตั้งที่แยกกันอย่างชัดเจน” เลขาธิการ กกต. กล่าว