คอลัมน์ : คิดในมุมกลับ
เทศกาลกินเจเดือน 9 ของจีน เริ่มแล้วเมื่อวานนี้ (28 ก.ย.) และไปสิ้นสุดวันที่ 7 ตุลาคม ธงเหลืองปักกันให้พรึบแทบทุกร้านอาหาร เป็นเหลืองแบบเจๆ นะพี่น้อง ดูให้ดี อย่าเข้าใจผิดพาลไม่เดินเข้าร้านเขาล่ะ
คนที่ไม่มีเชื้อสายจีนหลายคนก็ใช้โอกาสนี้ในการถือศีลกินผักไปด้วย นั่นหมายความว่าไม่เพียงแต่รักษาร่างกายให้สะอาด ผ่านการอาหารที่เลือกสรรและรับประทานเข้าไป ยังรักษาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์เท่าที่จะทำได้ เป็นช่วงละเว้นจากการทำผิดคิดร้ายต่อสรรพชีวิตทั้งปวง
ในความเข้าใจของฉัน การกินมังสวิรัติคงต่างจากการกินเจก็ตรงนี้ เพราะมังสวิรัติอาจไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกับการภาวนาถือศีลใดๆ เป็นเรื่องของสุขภาพ เราจึงเห็นทั้งคนไทยและต่างชาติเป็นมังสวิรัติกันมากมาย ยิ่งถ้าเป็นในต่างประเทศ ชุดอาหารมังสวิรัติจะมีไว้บริการเสมอ ในร้านฟาสต์ฟู้ดก็ยังต้องมีเมนูนี้ให้เลือก บนเครื่องบินก็ต้องมี ต่างจากไทยที่ใครกินมังสวิรัติก็ต้องขวนขวายเอาหน่อย เพราะคนไทยกินหมูกินเนื้อเป็นอาจิณ เห็นใครกินมังสวิรัติเป็นได้ถูกถามว่า “แก้บนเหรอ...” ทุกทีล่ะ
สำหรับการกินเจนั้น ทุกครั้งในช่วงเทศกาลก็จะมีนักโภชนาการออกมาเตือนเรื่องอาหารเจกันเป็นพิเศษ เพราะส่วนมากเป็นของทอด ผัด ใช้นำมันเป็นพิเศษ น้ำหนักจึงขึ้นฮวบฮาบได้ง่าย เช่นเดียวกันกับเส้นหมี่ชนิดต่างๆ ที่ทานมากๆ ติดๆ กัน ก็จะทำให้ท้องผูกเพราะไปดูดน้ำในลำไส้ หรือโปรตีนเกษตรที่หากแปรรูปเป็นอาหารแห้ง เช่น ผัด ก็จะทำให้ท้องผูกได้เช่นกันเพราะดูดน้ำ การกินเจจึงควรเน้นที่การ “กินผัก” มากกว่า “กินแป้ง”
แต่เรื่องอาหารก็ยังง่ายกว่าระวังรักษาจิตใจหลายเท่า เพราะจิตมนุษย์นั้นเบาหวิว ล่องลอยตีฟูให้สุขทุกข์ได้ง่ายดาย จึงควรใช้สติเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของจิตใจกันให้ดีเป็นพิเศษ อย่างน้อยๆ ก็ช่วงเวลานี้
ถ้ากลัวทำได้ไม่ดี ก็หยุดอ่านหนังสือพิมพ์ หยุดฟังวิทยุ หยุดดูข่าวโทรทัศน์กันไปเลย เพราะเดี๋ยวเห็นหน้าใครไม่พึงประสงค์ออกจอแล้วเผลอด่า จะไม่สมกับที่ใส่ชุดขาวช่วงเข้าเจกันนา...อิอิ
ปฏิญา ยอดเมฆ