“ชูวิทย์” เดินหน้าสาวข้อเท็จจริงทุจริตรถ-เรือดับเพลิง มูลค่า 6,687 ล้านบาท เชื่อน่าจะมี “คนใหญ่” กว่าผู้ว่าฯ กทม.รู้เรื่อง จี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะต้นสังกัดออกมาชี้แจงให้สังคมหายสงสัย พร้อมทำหนังสือถึง ป.ป.ช.ให้เร่งรัดทำความจริงให้กระจ่างโดยเร็ว สาบานถ้าเรื่องที่เปิดโปงเป็นเท็จขอให้มีอันเป็นไป ด้าน กกต.กทม.เตรียมสรุปกรณีโฆษณาแฝง 3 ตุลาคมนี้ ส่วน Wi-Fi อยู่ในระหว่างการหารือ
โค้งสุดท้ายของการหาเสียงชิงตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. ยิ่งใกล้วันยิ่งดุเดือด แต่ละคนต่างงัดกลยุทธ์ต่างๆ ขึ้นมาหาเสียงพร้อมกับแฉความไม่ชอบมาพากลของแชมป์เก่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่คู่แข่งรุมซัดเปิดโปง โครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. มูลค่า 6,687 ล้านบาท รวมทั้ง กกต. เตรียมสรุปป้ายหาเสียงที่ส่อเค้าว่าผิดกฎหมายเลือกตั้งภายใน 3 ตุลาคม อีกด้วย
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงข่าวเปิดโปงโครงการจัดซื้อรถ และเรือดับเพลิง ของกทม. มูลค่า 6,687 ล้านบาท ที่มีการเปิดแอลซี สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตผู้ว่าฯ กทม. โดยนายชูวิทย์ได้ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการจนถึงขั้นตอนการเปิดแอลซีซึ่งนายอภิรักษ์ เป็นผู้ลงนาม
นายชูวิทย์ กล่าวว่าตนเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ระดับนายอภิรักษ์ยังเล็กเกินไปไม่สามารถทำเองได้ แม้แต่ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ก็ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนที่ใหญ่กว่านั้น เรื่องนี้ตนอยากให้ประชาชนได้ตรวจสอบฝ่ายค้าน เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน จะต้องมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หลังจากที่ตรวจสอบคนอื่นมาตลอด
พร้อมกันนี้ตนขอให้สื่อเป็นเหรียญสองด้าน ให้ยืนอยู่บนขอบให้พิจารณาถึงการแถลงข้อเท็จจริงของตนเอง ซึ่งตนมีมากกว่าใบเสร็จหากภาพไม่แจ่มเสียงไม่ชัดตนไม่ออกมาเปิดเผย
“กรณีรถดับเพลิงมีการโยงใยถึงบุคคลหลายคน เป็นมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าผมมีเจตนาไม่สุจริต คิดร้าย อกุศล กล่าวร้าย ขอให้ผมและครอบครัวมีอันเป็นไปภายใน 3 วัน 7 วัน แต่ถ้าผมเจตนาดีปกป้องผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติของให้ผมรุ่งเรืองและมีผลงานแบบนี้สืบต่อไป วันนี้ที่ผมมาไม่มีเจตนาโจมตีนายอภิรักษ์ เพราะมีบุคคล 3 กลุ่ม เข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการก่อนนายอภิรักษ์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง โดยรัฐบาลให้งบอุดหนุน 60:40 ส่วนรถและเรือดับเพลิงทั้งหลายต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์ไปดำเนินการเกี่ยวกับการค้าต่างตอบแทนกับรัฐบาลออสเตรีย” นายชูวิทย์ กล่าว
พบเกี่ยวข้องการขายไก่ต้มสุก
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า เท่าที่ตนได้ศึกษาโครงการนั้นพบความผิดปกติในส่วนของการค้าต่างตอบแทน ซึ่งตามบันทึกลงนามความเข้าใจระบุว่าเมื่อไทยซื้อสินค้าวงเงิน 6,687 ล้านบาท ประเทศออสเตรียจะต้องซื้อไก่ต้มสุก ซึ่งเป็นสินค้าทางการเกษตรจากประเทศไทย คือบริษัท ซีพี จำกัด (มหาชน) ในวงเงินเท่ากัน แต่ปรากฏว่าไม่ได้มีการซื้อสินค้าจากไทยแม้แต่บาทเดียว เพราะบริษัท ซีพี ไม่ได้ส่งสินค้าแต่กลับขายบิลให้กับบริษัท สไตเออร์ฯ เป็นเงิน 150 ล้านบาท
ขณะเดียวกันก็มีการยกเลิกการส่งไก่ต้มสุกให้กับบริษัทญี่ปุ่น จุดนี้ถือว่าทั้งประเทศออสเตรียกับบริษัท ซีพี มีความเกี่ยวข้องในการทำนิติกรรมอำพราง ฉ้อฉลมติ ครม. และมีการเร่งรัดเปิดแอลซี
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า เมื่อนายอภิรักษ์ เข้ามาก็มาขอชะลอเปิดแอลซี โดยส่งหนังสือสอบถามไปยังกระทรวงมหาดไทย แต่กลับถูกเร่งรัดมาอีก นายอภิรักษ์ จึงแต่งตั้งนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าฯกทม. สมัยนั้น เป็นประธานคณะกรรมการมาต่อรองผลประโยชน์กับบริษัท สไตเออร์ฯ ซึ่งสรุปเรื่องต่อรองได้ทั้งหมด 4 ประการ มูลค่ารวม 35 ล้านบาท ในวันศุกร์ที่ 7 ม.ค.2548 แต่สุดท้ายนายอภิรักษ์ ก็ได้มาลงนามเปิดแอลซี เมื่อวันที่ 10 ม.ค.2548 และจุดนี้เองตนได้เอกสารหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน มีเพียงที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และที่ตนเท่านั้น
ทั้งนี้ เป็นเอกสารการเซ็นลงนามเปิดแอลซีด้วยลายมือเขียนของนายอภิรักษ์ ในระหว่างที่บัญชาการตึกถล่มบริเวณรองเมือง มีนายนิยม กรรณสูต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเหมือนแมสเซนเจอร์ นำเอกสารมาให้นายอภิรักษ์เซ็น แสดงให้เห็นความเร่งรีบ ทั้งที่นายอภิรักษ์ น่าจะได้ใช้เวลาในการพิจารณามากกว่านี้เนื่องจากวงเงินงบประมาณสูงถึง 6,687 ล้านบาท
ชูวิทย์ยื่นหลักฐานจี้ปปช.วันนี้
นายชูวิทย์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้หากตรวจสอบข้อความในการเปิดแอลซียังพบว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 มีการตัดข้อความ loading Thailand ออกไป และวันที่ 21 มกราคม 2548 กลับมาเพิ่มคำดังกล่าวใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ส่งเรือดับเพลิงที่ต่อในอู่พัทยา จ.ชลบุรี ไปยังประเทศออสเตรีย แล้วค่อยส่งกลับยังประเทศไทย ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงมติ ครม. ที่ไม่ให้ซื้อของผลิตในประเทศไทย โดยเรื่องนี้มีการวางแผนโดยนาย พ. ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการเงินการคลัง ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นระดับเทพ
“การเปิดแอลซีของนายอภิรักษ์ ต้องทราบอย่างดีว่าเป็นชนิดเพิกถอนไม่ได้ สัญญาจะมีผลใช้บังคับก็ต่อเมื่อผู้ซื้อเปิดแอลซี ตอนนี้เท่ากับว่าสัญญามีผลสมบูรณ์ ดังนั้นเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพูดเสมอว่าเป็นพรรคคุณธรรมสูง ตรวจสอบคนอื่นเสมอ เห็นคนอื่นเลวหมด ต้องออกมาชี้แจง คุณอภิสิทธิ์ ตรวจสอบทุกคนยกเว้นคุณอภิรักษ์ ผมขอเชิญคุณอภิสิทธิ์ มาพบ หรือให้ผมไปพบก็ได้ แต่ต้องชี้แจงให้ได้ การที่ผมออกมาพูดอย่างนี้ จะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะผมมีเงิน ไม่ต้องเข้ามาก็มีกิน” นายชูวิทย์ ระบุ
นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในที่ 2 ตุลาคม ตนจะไปยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อเร่งรัดการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพื่อไม่ให้เสียงบประมาณในการเลือกตั้งอีกครั้ง
แฉอีกเงื่อนงำโรงฆ่าสัตว์พันล้าน
ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ ได้แถลงข่าวกรณีโรงฆ่าสัตว์ ของ กทม. ว่า ก่อนจะเกิดโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้ กทม. เคยมีโรงฆ่าสัตว์ชื่อบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ ตั้งขึ้นเมื่อปี 2504 แต่เกิดภาวะขาดทุนจึงได้ยกเลิกไป ต่อมานายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าฯกทม. คิดฟื้นโครงการขึ้นจึงได้จัดหาที่ดินซึ่งอยู่ติดกับโรงกำจัดขยะของ กทม.สร้างบนเนื้อที่ 50 ไร่
นายชูวิทย์ กล่าว่า ต่อมาในสมัยของนายอภิรักษ์ ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่ากทม.ก็ได้เข้ามาสานงานต่อซึ่งก็มีเสียงคัดค้านจากคณะอนุกรรมการด้านสิ่งแวดล้อมชุมชนเมือง ของวุฒิสภา เพราะอยู่ใกล้กับโรงขยะ และจุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้มีโรงงานอุตสาหกรรม แต่นายอภิรักษ์ ก็ยืนยันให้เดินหน้าโครงการ เพราะเห็นว่าเป็นโรงฆ่าสัตว์แบบปิด มีมาตรฐานการทำงาน และแยกพื้นที่กับโรงขยะชัดเจน จนสามารถเปิดประมูลการก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อปี 2549 โดยใช้งบประมาณในการดำเนินการรวมมูลค่าของที่ดินเกินกว่า 1,000 ล้านบาท
นายชูวิทย์ กล่าวว่า การสร้างโรงฆ่าสัตว์ดังกล่าว เข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุน แต่ต่อมา บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของ กทม. เข้ามาบริหารโครงการเพื่อตัดปัญหา พ.ร.บ.ร่วมทุน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้เนื่องจากไม่มีเอกชนรายใดให้ความสนใจเข้ามาบริหารงานแม้จะเปิดโอกาสให้ประมูลถึง 2 ครั้งด้วยกันเหตุเพราะว่าผลตอบแทนที่ กทม. เรียกเก็บ 940 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญาเช่าบริหาร 15 ปี สูงเกินไป เมื่อเทียบกับโรงฆ่าสัตว์เถื่อนที่มีอยู่ทั่วกทม.ดังนั้นสิ่งที่เห็นในตอนนี้ก็คือสภาพอาคารรกร้าง แม้จะมีอุปกรณ์พร้อมที่จะเปิดให้บริการแล้วก็ตาม
นายชูวิทย์ กล่าวว่า หากตนได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าฯกทม.ตนจะลดสัมปทานให้เหลือแค่ 500-600 ล้านบาท ในสัญญาเช่า 15 ปี เพราะถ้าให้คิดค่าเช่าเกือบเท่าๆ กับค่าก่อสร้างก็คงไม่มีเอกชนรายใดให้ความสนใจ ทิ้งไว้อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่จะให้ย้ายไปสร้างใหม่ก็คงไม่ได้แม้ตนจะไม่เห็นด้วยที่ก่อสร้างโรงฆ่าสัตว์ที่นี่และอยู่ใกล้กับโรงกำจัดขยะที่มีกลิ่นโชยอยู่ตลอดเวลาก็ตาม เพราะลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทแล้ว แต่ตนจะเน้นการชำแหละให้ถูกสุขอนามัยมากขึ้น
“อภิรักษ์” โต้ทันควันทุกข้อกล่าวหา
ด้าน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. กล่าวชี้แจงพร้อมยืนยันว่า สิ่งที่นายชูวิทย์ แถลงต่อสื่อมวลชนเป็นเรื่องไม่จริง ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเดิมเพียงแต่มาพยายามพูดโยงใย โจมตีถึงตนเอง ทั้งนี้ยืนยันว่าโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง มีการดำเนินการมาก่อนที่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่งแล้ว เมื่อตนเข้ามาก็พยายามตรวจสอบเพื่อทำให้ถูกต้อง ที่นายชูวิทย์ ระบุว่าตนเซ็นลงนามเปิดแอลซี ด้วยความเร่งรีบเนื่องจากเซ็นด้วยลายมือเขียนก็ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เหตุที่ต้องเซ็นอย่างนั้นเพราะครบกำหนดที่คณะกรรมการชุดนายสามารถเจรจาไว้ อีกทั้งขณะนั้นตนอยู่ระหว่างตรวจตึกถล่มที่บริเวณรองเมือง ไม่ได้มีโอกาสกลับเข้าศาลาว่าการกทม.
นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ระบุว่ามีการแก้ไขข้อความในเอกสารขอเปิดแอลซีเพื่อเลี่ยงมติครม.นั้น ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง โดยหนังสือฉบับที่นายชูวิทย์ นำมาแถลงข่าวเป็นเพียงหนังสือมอบอำนาจเท่านั้น ทั้งนี้การแก้ไขข้อความดังกล่าวเป็นเพราะ กทม. มาตรวจสอบในภายหลังพบว่ามีข้อความบางอย่างไม่ตรงกับสัญญา ซึ่งข้อความในสัญญาทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผู้ทำสัญญาเดิมทำเรื่องไว้ให้สามารถส่งสินค้าที่ไหนก็ได้ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องไปถามคนที่ทำสัญญา คือเป็นเรื่องที่เจรจาโดยรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย และผู้ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกดีใจที่นายชูวิทย์ นำประเด็นนี้มาพูดอีกครั้ง ประชาชนจะได้ทราบว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ไว้
ส่วนเรื่องการฟ้องร้องนั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ต้องเป็นเรื่องของพรรคที่จะพิจารณา เพราะพาดพิงไปถึงพรรค อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่านายชูวิทย์ ตั้งใจที่จะดิสเครดิตตน และพรรค เพราะอยู่ในช่วงเลือกตั้ง
กกต.เตรียมสรุป "ป้ายหาเสียง"
ขณะที่ นายพิงค์ รุ่งสมัย ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกทม (ปธ.กกต.กทม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกต.กทม. ได้วินิจฉัยข้อร้องเรียนกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ร้องเรียนเรื่องป้ายประชาสัมพันธ์ของ กทม. โฆษณาแฝงเอื้อประโยชน์ให้กับ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยใช้เวลาการประชุมในวันนี้ประมาน 2 ชั่วโมง โดยจะส่งข้อวินิจฉัยให้ กกต.กลางเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ โดยเร็วที่สุดวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคมนี้ หรืออย่างช้าวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม
ทั้งนี้ ยืนยันว่า คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนอย่างครบถ้วนทั้งผู้ร้องและผู้เกี่ยวข้อง ไม่จำเป็นต้องเรียกผู้ถูกร้องเข้ามาสอบ
สำหรับกรณีที่ นายสมชาย ไพบูลย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. สังกัดอิสระ ร้องเรียนเรื่อง นายอภิรักษ์ แจก Bangkok Green Wi-Fi Gard ให้ประชาชนฟรี ขณะดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าฯ นั้น ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนในชั้นสืบสวนสอบสวน