คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
ยังไม่ทันที่ข้อเสนอให้เลือกตั้งตามกลุ่มสาขาอาชีพของกลุ่มพันธมิตรฯ จะได้รับการถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างจริงจัง
ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นตัวอย่างจุดอ่อนของระบบนี้เสียแล้ว โดยเกิดขึ้นในรั้วรอบขอบเขตเวทีชุมนุมพันธมิตรฯ เอง ด้วยฝีมือของหน่วยรักษาความปลอดภัย หรือ การ์ด อีกตามเคย...
เป็นข่าวฮือฮาตามหน้าหนังสือและเว็บไซต์ต่างๆ เมื่อมีการติดรูปถ่ายใบหน้าที่เห็นอย่างชัดเจนของหญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของหญิงสาวคนนี้ บนป้ายประกาศในเขตการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพื่อจะบอกให้ผู้ชุมนุมทราบว่า
หญิงสาวคนนี้ขายบริการ...!
จุดมุ่งหมายของพันธมิตรฯ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อต้องการรักษาภาพลักษณ์ชื่อเสียงของการชุมนุม หลังจากก่อนหน้ามีการเผยแพร่ภาพถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วเกลื่อนทำเนียบ แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าภาพนั้นเป็นของจริงหรือไม่ แต่ชื่อเสีย(ง)เรื่องถุงยางฯ ในทำเนียบของพันธมิตรฯ ก็เป็นที่โจษจันกลายเป็นที่ล้อเลียนขบขันว่าเป็นการปฏิวัติโดยถุงยางอนามัยและใบกระท่อม
อาจด้วยเหตุนี้ ทีมงานพันธมิตรฯ (ที่ไม่เกี่ยวกับการพากย์หนัง) จึงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษกับพฤติกรรมดังกล่าว และนำไปสู่การ “ประกาศ” เรื่องหญิงขายบริการคนหนึ่งให้รู้จักกันถ้วนหน้าเพื่อที่ว่ามวลชนจะได้ไม่ไปซื้อบริการของเธอ หรือช่วยกันกีดกันเธอออกไปจากการชุมนุมนั่นเอง
โดยไม่สนว่า นั่นจะเป็นการ “ประจาน” เป็นการ “ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ของผู้หญิงคนนั้นหรือไม่อย่างไร...
เมื่อเหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ได้สร้างความตกใจให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชนหลายองค์กร เพราะมันเป็นการดูถูกเหยียดหยามมนุษย์ผู้อื่นอย่างรุนแรง แม้คนผู้นั้นจะประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมายของไทย แต่ก็ใช่ว่าใครจะมีสิทธิเหยียบย่ำคนคนนั้นได้ตามชอบใจ
มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ซึ่งทำงานช่วยผู้หญิงที่มีอาชีพในการบริการทางเพศในประเทศไทยมาเกือบ 30 ปีเป็นองค์กรแรกๆ ที่ออกมาคัดค้านการกระทำนี้ของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงองค์กรอื่นๆ เช่น มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถี (Peace way Foundation) โดยเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยเฉพาะสตรีเพศอย่างรุนแรงเกินรับได้และเรียกร้องให้องค์กรด้านผู้หญิงออกมาประณามการกระทำครั้งนี้
ที่สำคัญก็คือ จากเหตุการณ์นี้ นำไปสู่การตั้งคำถามเรื่องระบบการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ทันที ว่าที่นำเสนอเรื่องระบบเลือกตั้งตามกลุ่มอาชีพนั้น…
ผู้ขายบริการ จะมีที่ทางให้สายตาของกลุ่มพันธมิตรฯ บ้างหรือไม่...
มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถีอธิบายถึงภาวะจำยอมของประชาชนบางชนชั้น ที่ไม่มีทางเลือกในชีวิตและการประกอบอาชีพมากนัก อีกทั้งยังด้อยโอกาส ถูกกดทับจากโครงสร้างสังคมมากมายหลายต่อ และสิ่งเหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะสามารถกากบาทที่หัวของใครหรืออาชีพใดอาชีพหนึ่งได้ว่าเขาไม่ใช่พลเมือง ไม่ใช่ประชาชน หรือกระทั่งไม่เป็นมนุษย์เทียบเท่าคนอื่นๆ
แต่สิ่งที่พันธมิตรฯ ทำ ซึ่งสะท้อนผ่านเหตุการณ์ดังกล่าว คือการตอกย้ำตัวตนที่ถูกวิจารณ์เรื่อยมา นั่นคือ การไม่เคยเห็นหัวคนยากคนจน ไม่เชื่อในความทัดเทียมกันระหว่างมนุษย์ ไม่เชื่อว่ามนุษย์แต่ละชนชั้นแต่ละสังคมแต่ละสาขาอาชีพมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกันและมีสิทธิ์ในชะตากรรมบ้านเมืองนี้เท่าๆ กัน
เหมือนที่ไม่เคยเชื่อถือ ยอมรับ ในประชาชนเสียงข้างมากในการเลือกตัวแทนของพวกเขาและกระทำทุกวิถีทางที่จะล้มล้าง ลิดรอน เสียงของประชาชนคนอื่นๆ ของประเทศนี้
พฤติกรรมที่ผ่านมาของพันธมิตรฯ จึงได้เห็นแต่การเกาะเกี่ยวชนชั้นสูง หรือชนชั้นกลางค่อนข้างสูงที่มีกำลังทรัพย์ มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาในสังคม ดูเหมือนจะมีแต่คนพวกนี้เท่านั้นที่นับได้ว่าเป็น “คน” ในสายตาของพันธมิตรฯ
จึงไม่แปลกที่พฤติกรรมซ้ำซากเช่นนี้ของคนกลุ่มนี้ จะถูกเคลือบแคลงจากคนอื่นๆ ว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่ “การเมืองใหม่” ของพวกเขาจะเป็นการเมืองใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้จริงๆ อีกทั้งตัวแทนแต่ละสาขาอาชีพ จะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของคนในอาชีพนั้นๆ ได้อย่างไร และแต่ละอาชีพจะมีโอกาสเข้ามาแข่งขันคัดเลือกจริงแท้ได้อย่างไร
นี่อาจไม่ใช่คำถามที่รอคำตอบ…
แต่เป็นเพียงคำบอกเล่าให้กลุ่มพันธมิตรฯ กลับไปทบทวนตัวเองเสียใหม่ ว่าในความคิดและจิตใจที่ไม่เคยเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ จะสามารถกำหนดทิศทางการเมืองใหม่ที่ดีงามและสร้างสรรค์ได้อย่างไร...
คำตอบง่ายๆ คือไม่มีทางเลย
ยังไม่ทันที่ข้อเสนอให้เลือกตั้งตามกลุ่มสาขาอาชีพของกลุ่มพันธมิตรฯ จะได้รับการถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างจริงจัง
ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นตัวอย่างจุดอ่อนของระบบนี้เสียแล้ว โดยเกิดขึ้นในรั้วรอบขอบเขตเวทีชุมนุมพันธมิตรฯ เอง ด้วยฝีมือของหน่วยรักษาความปลอดภัย หรือ การ์ด อีกตามเคย...
เป็นข่าวฮือฮาตามหน้าหนังสือและเว็บไซต์ต่างๆ เมื่อมีการติดรูปถ่ายใบหน้าที่เห็นอย่างชัดเจนของหญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของหญิงสาวคนนี้ บนป้ายประกาศในเขตการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพื่อจะบอกให้ผู้ชุมนุมทราบว่า
หญิงสาวคนนี้ขายบริการ...!
จุดมุ่งหมายของพันธมิตรฯ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อต้องการรักษาภาพลักษณ์ชื่อเสียงของการชุมนุม หลังจากก่อนหน้ามีการเผยแพร่ภาพถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วเกลื่อนทำเนียบ แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าภาพนั้นเป็นของจริงหรือไม่ แต่ชื่อเสีย(ง)เรื่องถุงยางฯ ในทำเนียบของพันธมิตรฯ ก็เป็นที่โจษจันกลายเป็นที่ล้อเลียนขบขันว่าเป็นการปฏิวัติโดยถุงยางอนามัยและใบกระท่อม
อาจด้วยเหตุนี้ ทีมงานพันธมิตรฯ (ที่ไม่เกี่ยวกับการพากย์หนัง) จึงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษกับพฤติกรรมดังกล่าว และนำไปสู่การ “ประกาศ” เรื่องหญิงขายบริการคนหนึ่งให้รู้จักกันถ้วนหน้าเพื่อที่ว่ามวลชนจะได้ไม่ไปซื้อบริการของเธอ หรือช่วยกันกีดกันเธอออกไปจากการชุมนุมนั่นเอง
โดยไม่สนว่า นั่นจะเป็นการ “ประจาน” เป็นการ “ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ของผู้หญิงคนนั้นหรือไม่อย่างไร...
เมื่อเหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ได้สร้างความตกใจให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชนหลายองค์กร เพราะมันเป็นการดูถูกเหยียดหยามมนุษย์ผู้อื่นอย่างรุนแรง แม้คนผู้นั้นจะประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมายของไทย แต่ก็ใช่ว่าใครจะมีสิทธิเหยียบย่ำคนคนนั้นได้ตามชอบใจ
มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ซึ่งทำงานช่วยผู้หญิงที่มีอาชีพในการบริการทางเพศในประเทศไทยมาเกือบ 30 ปีเป็นองค์กรแรกๆ ที่ออกมาคัดค้านการกระทำนี้ของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงองค์กรอื่นๆ เช่น มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถี (Peace way Foundation) โดยเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยเฉพาะสตรีเพศอย่างรุนแรงเกินรับได้และเรียกร้องให้องค์กรด้านผู้หญิงออกมาประณามการกระทำครั้งนี้
ที่สำคัญก็คือ จากเหตุการณ์นี้ นำไปสู่การตั้งคำถามเรื่องระบบการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ทันที ว่าที่นำเสนอเรื่องระบบเลือกตั้งตามกลุ่มอาชีพนั้น…
ผู้ขายบริการ จะมีที่ทางให้สายตาของกลุ่มพันธมิตรฯ บ้างหรือไม่...
มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถีอธิบายถึงภาวะจำยอมของประชาชนบางชนชั้น ที่ไม่มีทางเลือกในชีวิตและการประกอบอาชีพมากนัก อีกทั้งยังด้อยโอกาส ถูกกดทับจากโครงสร้างสังคมมากมายหลายต่อ และสิ่งเหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะสามารถกากบาทที่หัวของใครหรืออาชีพใดอาชีพหนึ่งได้ว่าเขาไม่ใช่พลเมือง ไม่ใช่ประชาชน หรือกระทั่งไม่เป็นมนุษย์เทียบเท่าคนอื่นๆ
แต่สิ่งที่พันธมิตรฯ ทำ ซึ่งสะท้อนผ่านเหตุการณ์ดังกล่าว คือการตอกย้ำตัวตนที่ถูกวิจารณ์เรื่อยมา นั่นคือ การไม่เคยเห็นหัวคนยากคนจน ไม่เชื่อในความทัดเทียมกันระหว่างมนุษย์ ไม่เชื่อว่ามนุษย์แต่ละชนชั้นแต่ละสังคมแต่ละสาขาอาชีพมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกันและมีสิทธิ์ในชะตากรรมบ้านเมืองนี้เท่าๆ กัน
เหมือนที่ไม่เคยเชื่อถือ ยอมรับ ในประชาชนเสียงข้างมากในการเลือกตัวแทนของพวกเขาและกระทำทุกวิถีทางที่จะล้มล้าง ลิดรอน เสียงของประชาชนคนอื่นๆ ของประเทศนี้
พฤติกรรมที่ผ่านมาของพันธมิตรฯ จึงได้เห็นแต่การเกาะเกี่ยวชนชั้นสูง หรือชนชั้นกลางค่อนข้างสูงที่มีกำลังทรัพย์ มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาในสังคม ดูเหมือนจะมีแต่คนพวกนี้เท่านั้นที่นับได้ว่าเป็น “คน” ในสายตาของพันธมิตรฯ
จึงไม่แปลกที่พฤติกรรมซ้ำซากเช่นนี้ของคนกลุ่มนี้ จะถูกเคลือบแคลงจากคนอื่นๆ ว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่ “การเมืองใหม่” ของพวกเขาจะเป็นการเมืองใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้จริงๆ อีกทั้งตัวแทนแต่ละสาขาอาชีพ จะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของคนในอาชีพนั้นๆ ได้อย่างไร และแต่ละอาชีพจะมีโอกาสเข้ามาแข่งขันคัดเลือกจริงแท้ได้อย่างไร
นี่อาจไม่ใช่คำถามที่รอคำตอบ…
แต่เป็นเพียงคำบอกเล่าให้กลุ่มพันธมิตรฯ กลับไปทบทวนตัวเองเสียใหม่ ว่าในความคิดและจิตใจที่ไม่เคยเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ จะสามารถกำหนดทิศทางการเมืองใหม่ที่ดีงามและสร้างสรรค์ได้อย่างไร...
คำตอบง่ายๆ คือไม่มีทางเลย