คอลัมน์ : แวดวงจักรดาว
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในขณะที่กำลังชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จะอาศัยสัมพันธ์เก่าๆ ที่มีอยู่บ้างกับ บิ๊กป็อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
รวมทั้งให้ คุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ช่วยอีกแรง จึงทำให้นายสมชายบุกเข้าไปพบ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ถึงบ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา
โดยมีข้ออ้างขอหารือเรื่องการยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 กันยายน หลังเกิดเหตุม็อบกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ปะทะกับ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนถึงขั้นเสียชีวิตเลือดเนื้อ
เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า สถานการณ์เช่นนี้สมควรที่จะยกเลิกภาวะฉุกเฉิน อีกทั้งกำลังตำรวจและทหารที่จะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน จะดูแลไม่ให้ม็อบปะทะกันได้อีก รวมทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ก็มอบหมายให้ บิ๊กตู่ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาค 1 และตำรวจนครบาล ไปเจรจากับแกนนำ นปก. แล้ว
อีกทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ก็ได้โทรศัพท์ไปยังนายสมชาย เพื่อแสดงความต้องการนี้ก่อนแล้วด้วย แต่นายสมชายขอเวลา แต่เมื่อขบคิดแล้วเห็นว่าจะเป็นจังหวะที่จะโกยคะแนนนิยมเพื่อหนุนการเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นายสมชายจึงตกลงใจยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินในวันรุ่งขึ้น 14 กันยายน 2551 หลังการหารือ โดยควงแขน พล.อ.อนุพงษ์ และ บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ไปแถลงข่าวพร้อมโชว์วิสัยทัศน์
แต่มีรายงานข่าวว่า การพบกันวันนั้นยังมีการหารือเรื่องให้ พล.อ.อนุพงษ์ สนับสนุนนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี
อีกทั้งภาพที่ฉายออกมานั้นทำให้ผู้คนเข้าใจเช่นนั้นด้วยว่า พล.อ.อนุพงษ์ หนุนหลังนายสมชาย ผู้เป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.อนุพงษ์ นั่นเอง ทั้งๆ ที่นายสมชายเป็นฝ่ายกระเถิบเข้าหาเข้าใกล้ พล.อ.อนุพงษ์ เอง เพื่อหวังเอากองทัพหนุนหลัง
คล้ายๆ กับการเดินเกมของนายสมัครเมื่อก่อนและระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เกาะ พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ. ผู้คุมกำลังปฏิวัติ แน่น
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ดูมีใจ เพราะเขารู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เปิดไฟเขียวจากลอนดอนมาแล้ว อีกทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ก็ไม่อยากให้เก้าอี้ ผบ.ทบ. ต้องสะเทือนเพราะการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี และอาจต้องมี รมว.กลาโหม คนใหม่ เขาจึงมีไมตรีกับนายสมชาย ถึงขั้นให้คำแนะนำหลังการยกเลิกภาวะฉุกเฉินแล้ว จนนายสมชายตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เป็นผู้อำนวยการประสานงานกับตำรวจและ 20 องค์กรเดิม ในการแก้ปัญหาต่อไป
หากแต่กลับนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ อย่างแรง ยิ่งเมื่อภาพการนั่งแถลงข่าวร่วมกับนายสมชายปรากฏไปทั่ว
อีกทั้งมีข่าวสะพัดอีกว่า พล.อ.อนุพงษ์ ต่อรองเก้าอี้ รมว.กลาโหม หากนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อหนุนอดีตบิ๊กทหารหลายคนขึ้นเป็น รมว.กลาโหม เสียที ไม่ว่าจะเป็น นายเหวียง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา อดีตนายเก่าของ พล.อ.อนุพงษ์ และโดยเฉพาะ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ทบ.
แต่อีกใจของ พล.อ.อนุพงษ์ ก็กลับหนุนให้คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควบเก้าอี้ รมว.กลาโหม ไปด้วยเลย ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม เพราะเชื่อว่ารัฐบาลนี้อายุไม่ยืน ถ้าไม่เจอยุบพรรคเสียก่อนก็ต้องเดินเกมยุบสภาแน่
แต่ปัญหาภายในของพรรคพลังประชาชนที่ยังสู้กันเองใน 3 ส. โดยเฉพาะกลุ่มของ นายเนวิน ชิดชอบ ที่ยืนกรานไม่เอานายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงขั้นพากันวอล์กเอาต์ไม่ร่วมประชุมพรรคเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ก่อนมีกำหนดโหวตเลือกนายกฯ 17 กันยายน จนมีการขู่ว่าจะยุบสภา เลือกตั้งใหม่ วัดกันอีกที
ทั้งๆ ที่ความจริงเกมยุบสภานั้นถูกวางไว้รอแล้ว หากหนึ่งใน 3 ส. ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เตรียมการยุบสภาในไม่ช้า แถมต้องเจอคดีตัดสินยุบพรรคเสริมเข้ามาอีก
ท่ามกลางความไม่แน่นอนนั้น มีการปล่อยข่าวจากพรรคพลังประชาชนว่า พล.อ.อนุพงษ์ เปลี่ยนใจมาหนุนนายสมพงษ์เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเห็นว่าการที่นายสมชายเป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยิ่งสร้างปัญหา และถูกมองแน่ว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิด รัฐบาลครอบครัว
แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ก็ออกมาปฏิเสธทุกข่าวลือที่เขาถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะถือเป็นเรื่องการเมืองที่ทหารไม่เข้าไปยุ่ง
แต่ก็ยังตั้งความหวังว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ไม่นับรวมการไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ที่นอกจากจะยากแล้ว ยังไม่มีฝ่ายค้าน หรือแม้แต่ยากที่จะมีนายกรัฐมนตรีจากคนนอก และเห็นว่าในจำนวน ส.ส. ที่มีอยู่ มีคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีได้อยู่แล้ว
ขณะที่ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. ที่กำลังจะเกษียณ เตือนว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่นอกจากจะต้องเป็นที่ยอมรับแล้ว ยังจะต้องไม่เป็นตัวปัญหาเสียเอง เพราะจะต้องมาแก้ปัญหา ซึ่งสะท้อนตรงถึงการมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นน้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ หรือแม้แต่จากพรรคพลังประชาชน ในเมื่อแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศไม่ยอมรับทั้ง 3 ส. หรือนายกฯ ที่มาจากพรรคพลังประชาชน
การแย่งชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของทั้ง 3 ส. และเกมในพรรคพลังประชาชนเอง ทำให้เกิดความวุ่นวาย และสะท้อนภาพของการแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง และการแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายในพรรค โดยเฉพาะกลุ่มของ นายเนวิน ชิดชอบ ที่ค้านการให้นายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เล่มเกมจนจะนำไปสู่การเร่งยุบสภา
พล.อ.อนุพงษ์ ก็เฝ้ามองวิธีการแก้ปัญหาตามระบอบประชาธิปไตยของนักการเมืองบ้านเราที่ยังมาพัฒนา และไม่ยอมเสียสละ ด้วยความเศร้าใจและไม่ค่อยพอใจนัก ทั้งจากการที่ตัวเขาเองถูกดึงมาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะแคนดิเดตต่างจะอาศัยภาพลักษณ์ที่ดีของ พล.อ.อนุพงษ์ ปล่อยข่าวสนับสนุนตัวเอง และไม่พอใจที่ฝ่ายการเมืองแก้ปัญหาอย่างล่าช้า แถมดูว่าจะแก้ไขไม่ได้ด้วยซ้ำ
“บ้านเมืองจะอยู่ในสุญญากาศไปอย่างนี้นานๆ ไม่ได้” บิ๊กป็อกกระตุ้นนักการเมืองราวกับจะขู่ว่า ถ้าช้า อาจต้องแก้วิกฤติด้วยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ท่ามกลางข่าวปล่อยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศมาถึง พล.อ.อนุพงษ์ เพื่อขอให้ช่วยนายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี และฝากให้ดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยในยามที่อะไรก็เกิดขึ้นได้
และหากมองใน 3 ส. แล้ว พล.อ.อนุพงษ์ ก็ดูคุ้นเคยกับนายสมชายมากที่สุด ขณะที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ 2 ส. ที่เหลือ แต่กับนายสมชายนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เคยไปร่วมโต๊ะกินข้าวด้วย แต่ก็แค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น
จึงส่อเค้าว่าถ้านายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรี ส้มก็หล่นใส่เท้า พล.อ.อนุพงษ์ อีกแน่นอน เพราะเขาจะกลายเป็นที่ปรึกษาด้านการทหารให้กับนายสมชาย ที่อาจควบ รมว.กลาโหม เอง ซึ่งนั่นหมายถึงการที่ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นเสมือน รมว.กลาโหม ให้เสียเอง
บทบาทของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่อ้างว่าตนเองเป็นทหารอาชีพ ทหารของชาติ และทหารของในหลวง ในช่วงการเลือกหานายกรัฐมนตรี จึงเป็นการสะท้อนชัดว่า พล.อ.อนุพงษ์ เป็นของจริงหรือไม่ เพราะแม้ปากบอกว่าทหารไม่ยุ่งการเมือง แต่พฤติกรรมที่กระทำนั้นไม่อาจปฏิเสธได้เลย...
ตีนตะขาบ