เวทีวิชาการรุมถล่ม “ลัทธินอกรีต” สันติอโศก ระบุเป็นพวกมารศาสนาจ้องทำลายพุทธศาสนาให้หมดไปจากเมืองไทย หวังสถาปนาลัทธิชั่วขึ้นมาใหม่ พร้อมกับการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย สร้างการเมืองใหม่หมกเม็ดเผด็จการแบบพันธมิตรฯ “พระเทพวิสุทธิกวี” แนะต้องช่วยกันขับไล่ลัทธิเถื่อน ด้าน “อ.วรพล” ซัดสันติอโศกกับพันธมิตรฯ เป็นพวกจ้องทำลายสถาบัน ระบุ “เหี้ยยังประเสริฐกว่า”
องค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทยและเครือข่ายชาวพุทธในยุโรป ร่วมกันจัดเสวนาวิชาการเรื่อง “ลัทธิสันติอโศก ได้อำนาจรัฐแล้วพระพุทธศาสนาจะอยู่อย่างไร” ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ โดยมีพระญาณวิสิฐ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และพระเทพดิลก เลขาธิการศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถานำ
ก่อนจะเริ่มการเสวนาโดย วิทยากรประกอบด้วย พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐบาล พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.บุญทัน ดอกไธสง อดีตรองประธานวุฒิสภา ศ.ดร.เสริน ปุณณะหิตานนท์ นักวิชาการอาวุโส และผศ.เสถียร วิพรมหา เลขาธิการองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ
พระเทพวิสุทธิกวี กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่รู้สึกกลัวลัทธิสันติอโศก เพราะ ของจริงต้องอยู่ได้อย่างสง่างาม กลุ่มคนในสันติอโศกไม่ใช่พระ วันหนึ่งเมื่อแกนนำสั่งให้เปลี่ยนเขาต้องเปลี่ยน คำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นของจริงไม่ใช่การกล่าวอ้าง เหมือนที่นายรักษ์ รักษ์พงษ์ กล่าวอ้าง เนื้อหาคำสอนที่มากมายแต่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ โง่แล้วยังตั้งตัวเป็นบัณฑิต อวดฉลาด พฤติกรรมอย่างนี้จะทำให้จมปลักและไม่เกิดปัญญา
พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่ออย่างชาญฉลาดและให้ใช้ปัญญาคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในทำเนียบรัฐบาลเวลานี้ ทำให้ประชาชนทั้งคนไทยและต่างชาติเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นชาวพุทธควรร่วมมือกันอย่างสมานฉันท์ เพราะทุกคนมีธงชัยเดียวกันคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศาสนาคือความมั่นคงของชาติ
“ณ วันนี้ อาตมาเชื่อว่าจะดำรงอยู่ได้ ภัยที่เกิดขึ้นจากสันติอโศก เป็นเพียงมารศาสนา เราต้องร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เพื่อขับไล่ลัทธินี้”
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า ตนยังเชื่อว่าพระพูทธศาสนายังยืนหยัดเคียงคู่กับประเทศไทยได้ เพียงแต่เวลานี้ ชาวพุทธกำลังเผชิญกับมารศาสนาอย่างลัทธิสันติอโศก หากร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น ลัทธิสันติอโศกก็คงอยู่ไม่ได้ เพราะนายรักษ์ ไม่ใช่พระ เมื่อกระทำการใดๆ ล่วงล้ำกฎหมาย หลักประชาธิปไตย และหลักศาสนา ก็ไม่ควรได้รับเกียรติจากชาวพุทธอีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในทำเนียบรัฐบาล พวกพันธมิตรฯ และสันติอโศก เรียกว่า การอภิวัตน์สังคมไทยไปสู่การเมืองใหม่ จึงอยากจะตั้งคำถาม ถึงแกนนำพันธมิตรฯ ทำไมไม่พูดเรื่องคดีเก่าก่อนถึงจะพูดเรื่องการเมืองใหม่ มีคดีติดตัวอยู่แล้วยังจะมาพูดว่า เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย นักสู้ที่ประกาศตัวบนเวทีว่า พร้อมที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม แต่เมื่อพูดเสร็จ ทำไมจึงไปนั่งอยู่ในวงล้อมของผู้หญิง หรือต้องการเป็นไข่แดงในหมู่ไข่ดาว
สิ่งที่ลัทธิสันติอโศก กำลังทำอยู่ตอนนี้คือความมุ่งหวังทางการเมืองโดยตั้งพรรค เพื่อฟ้าดินขึ้นมา หากไม่มีความมุ่งหวังด้านการเมืองคงไม่ตั้งพรรคขึ้นมาสู้และหากนายโพธิรักษ์ เกิดเข้ามาเล่นการเมือง เขาอาจจะเป็นนายกฯ คนต่อไปในระบบการเมืองใหม่ พฤติกรรมเช่นนี้ กระทบทั้งการเมืองและศาสนาเพราะมีการเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กัน คิดง่ายๆ ในระบบการเมืองใหม่ 70 : 30 ถ้าหากกฎหมายระบุว่า นายกฯต้องมาจาก ส.ส. ในสภา พวกลากตั้งที่มีถึง 70% ต้องได้ตำแหน่งนายกฯ แน่นอน ต่อให้ที่เหลืออีก 30% รวมทั้งมือทั้งเท้าก็สู้ไม่ได้ การเมืองจะวุ่นวายมากกว่านี้ ตนมองว่าผ้าคลุมที่โพธิรักษ์ใส่คล้ายชุดพระสงฆ์เป็นสิ่งปกป้องพฤติกรรมและคุ้มครองความเคลื่อนไหวของตนเองไปสู่เป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น
“วันนี้จึงไม่อยากให้ยึดติดกับสิ่งที่เป็นวัตถุ เมื่อเขาเข้ามายึดทำเนียบรัฐบาลและไม่ยอมออกมา ผมจะเสนอไปยังกรมราชทัณฑ์ให้นำลวดหนามมาล้อมและติดป้ายว่าเป็นสถานกักกันชั่วคราว ให้กลายเป็นดาวกระจุกอยู่แต่ในทำเนียบรัฐบาล” ความเสียหายที่เกิดขึ้นวันนี้แม้พันธมิตรฯ และกองทัพธรรมจะออกมาจากทำเนียบ ฝ่ายรัฐบาลเองก็คงไมสามารถเข้าไปปฏิบัติงานได้ทันที คงต้องทำการบูรณะและทำบุญครั้งใหญ่
ความคิดการเมืองใหม่ที่พันธมิตรฯ กำลังจะเสนอ ไม่ใช่ทางสว่างของสังคมไทย แต่มันกำลังนำไปสู่ความมืดมิด เพราะความจริงแล้วแนวทางการเมืองใหม่เป็นแนวทางที่ต้องการยึดอำนาจ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กินข้าวมื้อเดียวคงหิวจนตาลาย จึงทำอะไรเลอะเทอะขึ้นทุกวัน พูดมาได้ว่าการเคลื่อนไหวเป็นสิทธิของประชาชน แต่ถ้าหากเกิดการปะทะและเกิดความรุนแรงขึ้น ให้เป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องจัดการและรับผิดชอบ สุดท้ายตนจะขอรับถล่มนายโพธิรักษ์ให้อยู่หมัด ขอให้พี่น้องประชาชนคอยติดตามในรายการความจริงวันนี้ และไม่ต้องวิตกกังวล เพียงแต่ต้องตระหนักรู้และคิดเท่าทันการกระทำของคนกลุ่มนี้เท่านั้น
รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร กล่าวว่า หากสันติอโศกและผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังได้อำนาจมากกว่านี้ สมาชิกชาวพุทธเถรวาทและพระชั้นผู้ใหญ่จะถูกบังคับให้บิดเบือนรับเอาสันติอโศกเข้าไปเป็นนิกายใหม่ของศาสนาพุทธ และอาจมีการสังฆกรรมครั้งใหญ่เกิดขึ้น จะมีการกวาดล้างล้มล้างศาสนาพุทธ ซึ่งตอนนี้ศาสนาพุทธก็อยู่อย่างล่อแหลม ซึ่งหากถูกทำลายลงไปก็จะส่งผลถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่อาจจะถูกลัทธิสันติอโศกล้มด้วยก็ได้ สันติอโศกและพวกพันธมิตรฯ ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะหลักของชาวพุทธให้ยึดปฏิบัติศีล 5 ข้อ แต่แกนนำสองกลุ่มนี้ละเมิดศีล 5 ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดมา ฆ่าทั้งคนทั้งตัวตะกวดที่ไม่รู้เรื่องด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับสันติวิธีโดยสิ้นเชิง ตนมองว่า “ตัวเหี้ยที่ถูกฆ่ายังมีความประเสริฐกว่าพันธมิตรฯ”
ดังนั้น สันติอโศกและพันธมิตรฯ ถือว่าเป็นฝั่งตรงข้ามชาวพุทธ และไม่มีความพยายามที่จะรักษาศีล อีกทั้งยังทำลายสังคมอย่างสิ้นเชิง
ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย คือผู้ที่ใช้หลักประชานิยมมาบริหารประเทศ แต่ถูกกลุ่มคนพวกนี้บิดเบือนหาว่าติดสินบนประชาชน กลุ่มอำนาจคณาธิปไตยได้จ้องมองการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชิงชัง เพราะคนพวกนี้แปลงร่างมาจากคณะราษฎร ซึ่งเป็นอำมาตยาธิปไตยที่ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ การบริหารงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงถือว่าขัดผลประโยชน์
โดยส่วนตัวพันธมิตรฯ เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มคณาธิปไตยเท่านั้น เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการให้อำนาจยังคงอยู่ และการเมืองที่พูดกันก็เป็นการเมืองที่หมุนกลับไปในปี 2475 ทางทฤษฎีของคณะราษฎร สวนทางกับวิวัฒนาการทางการเมืองของไทยซึ่งควรจะใช้สิทธิในการเลือกตั้ง 100% ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. แต่ก็มีความพยายามจากกลุ่มคณาธิปไตยที่ต้องการจะเบี่ยงเบนประเด็นให้มีทั้งการเลือกตั้งและแต่งตั้งผสมผสานกัน
สิ่งที่องค์กรชาวพุทธและประชาชนต้องทำตอนนี้คือ ตรวจสอบรัฐธรรมนูญใหม่ และตรวจสอบระบบการเมืองด้วย