คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
หลายสิบปีมานี้ ประชาธิปไตยมีหลายแบบขึ้นอยู่กับว่าสังคมหนึ่งจะแถลงว่าระบอบการปกครองของตนเองนั้นเป็นแบบใด แต่เนื่องจากประชาธิปไตยเป็นคำที่ฟังดูไพเราะ เพราะแปลว่าอำนาจเป็นของประชาชน สังคมไหนก็อวดอ้างตนเองเป็นประชาธิปไตยทั้งสิ้น เพียงแต่จะเป็นจริงแค่ไหน และหากทนซ่อนเร้นบางอย่างไม่ได้ ก็จะต้องเติมสร้อยไว้ด้านหลังหรือเติมคำคุณศัพท์ไว้ข้างหน้า เพื่อให้คนในสังคมนั้นได้รู้ว่า นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มร้อย แต่ต้องดูที่คำข้างหน้าหรือที่ต่อท้ายเป็นสำคัญ เพราะนั่นคือตัวจริง เสียงจริง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเองก็ต้องเดินตามแฟชั่นดังกล่าวด้วย นั่นคือ ขอมีคำสร้อยต่อท้าย แต่จะขอย้ำว่าคำสร้อยที่เพิ่มเข้ามาจะไม่บิดเบือนหรือลดคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย มีแต่จะตอกย้ำความสำคัญของระบอบนี้
วิชารัฐศาสตร์มักพูดเสมอว่า ประชาธิปไตยนั้นเป็นทั้งอุดมการณ์ (คือความอยากที่จะเป็น) เป็นทั้งสถาบัน (คือมีสถาบันต่างๆ ในทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง ศาลยุติธรรม ฝ่ายบริหารที่โปร่งใส สภาผู้แทนฯ ที่ยึดมั่นในหลักการไม่ใช่พวกมากลากไป สื่อมวลชนที่เสนอข่าวรอบด้าน ไม่ใช่เลือกเสนอข่าว และนำเอาความเห็นส่วนตัวไปปะปนกับเนื้อหาของข่าว มีสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีการเลือกตั้ง และมีกิจกรรมการเมืองของประชาชนที่หลากหลาย ไม่ใช่มีแต่การเลือกตั้ง ฯลฯ) และเป็นทั้งวิถีชีวิต (คือสังคมมีค่านิยมและพฤติกรรมต่างๆแบบประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีระบบอภิสิทธิ์ ไม่มีนอกกติกา ฯลฯ)
3 อย่างนี้ปรากฏในสังคมใด ประชาธิปไตยก็ย่อมรุ่งเรืองและมั่นคง ไม่มีใครบิดเบือน หรือถูกฉีกทิ้งทำลายง่ายๆ แถมมีคนร่วมยินดีปรีดาอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในบางประเทศ
สำหรับผม วิชารัฐศาสตร์ต้องไปให้ไกลกว่านั้นอีก นั่นคือ ประชาธิปไตยต้องเป็นทั้งจุดหมายและวิธีการ ตลอดจนประวัติศาสตร์การพัฒนาระบบการเมืองในห้วงกว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ยุคกรีก ประชาธิปไตยคือเส้นทางการเดินของมนุษยชาติ บนเส้นทางสายนั้น จึงมีทั้งส่วนที่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็น มีทั้งประชาธิปไตยที่ถูกทำลายไปบางส่วนหรือมากส่วน หรือถูกบิดเบือนไปทั้งเนื้อหาและถ้อยคำ กระทั่งแต่งเติมคำข้างหน้าและข้างหลังเพื่อให้คุณค่าของคำว่าประชาธิปไตย ถูกลดทอนลงไป
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประชาธิปไตยก็ยังจะเดินไปข้างหน้า เพราะตัวของมันเป็นทั้งเส้นทางและจุดหมายของมนุษยชาติ อาจจะหกล้มบ้าง แต่ก็ลุกขึ้น ปัดฝุ่น ดึงเสี้ยนหนามออก ซับน้ำตา ปาดเหงื่อ ล้างหน้าล้างตา หายใจลึกๆ แล้วก็เดินหน้าต่อไป
ในการอภิปรายที่คณะรัฐศาสตร์ มช. (16 ก.ย. 2551) คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้พูดถึงความขมขื่นของตนเองที่ได้เห็นนักการเมืองไทยแก่งแย่งผลประโยชน์ ช่วงชิงและต่อรองเพื่อตำแหน่งและงบประมาณ ทุจริตคอร์รัปชั่น และไม่เห็นหัวประชาชนมาปีแล้วปีเล่า
คำถามมีอย่างน้อย 2 ข้อ 1.มีแต่นักการเมืองเท่านั้นหรือที่ทุจริต อาชีพอื่นๆ ไม่มีเลยหรือที่ทุจริตในสังคมไทย และ 2.อะไรเล่าที่ทำให้นักการเมืองเป็นเช่นนั้น
คำตอบคือ ในสังคมที่เป็นอำนาจนิยมและอภิสิทธิ์ชนนิยมมานาน ผู้มีอำนาจไม่ว่าอาชีพใดก็ฉ้อฉลอำนาจทั้งนั้น และวัฒนธรรมอำนาจนิยมดังกล่าวได้แพร่เข้าไปในหมู่ประชาชนด้วย การก่นด่าว่านักการเมืองและพรรคการเมืองจึงเป็นการมองด้านเดียว คนด่าด้านเดียวแบบนี้ไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวว่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มอำนาจนิยม
อีกข้อหนึ่งที่พรรคการเมืองและนักการเมืองอ่อนแอ ด้อยคุณภาพ หรือชอบทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น ข้อเท็จจริงต้องมีที่ใส่ไข่ใส่นมเพื่อหาเหตุทำรัฐประหารก็ย่อมมี แต่ที่ควรเป็นประเด็นคือ เพราะประชาธิปไตยของไทยถูกทำลายบ่อยครั้งโดยรัฐประหาร และรัฐประหารแต่ละครั้งมิได้ลงโทษนักการเมืองที่ทำผิดมาขึ้นศาล แต่ทำได้เพียงไล่ออกจากตำแหน่ง ยุบพรรค และฉีกรัฐธรรมนูญ ดังนั้น พอมีการเลือกตั้ง นักการเมืองก็กลับมาอีก และเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
การที่สภาล่มในวันที่ 12 กันยายน เหตุผลหนึ่งก็คือ มีพรรคการเมืองมากเกินไป ทำให้เกิดการต่อรอง การช่วงชิงจากฝ่ายต่างๆ ทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และกลุ่มนอกระบบ ทำไมมีพรรคการเมืองมาก ก็เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ต้องการทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ กลัวรัฐบาลเข้มแข็งมากเกินไป
รัฐธรรมนูญ 2540 มาถูกทางแล้ว คือสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง มีจุดอ่อนบางข้อ เช่น ปิดกั้นพรรคขนาดเล็กมากเกินไป แต่แทนที่สังคมไทยจะแก้ไขปัญหารัฐบาลเข้มแข็งเกินไปด้วยการถ่วงดุลรัฐบาลพรรคไทยรักไทย กลับใช้วิธีรัฐประหาร ล้มรัฐบาลและฉีกรัฐธรรมนูญ และสร้างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ถอยหลังไปอีก การเมืองไทยจึงเวียนกลับไปที่เก่า
ประชาธิปไตยที่หวนคืนแต่ละครั้งมีลักษณะอารยะเล็กๆ ที่เผยให้เห็น และควรจะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเพื่อให้การก้าวเดินไปข้างหน้ามีสิ่งที่ดีๆ เก็บไว้เป็นประเพณี
เช่น คืนวันที่ 23 ธันวาคม 2550 พรรคการเมืองที่พ่ายแพ้แสดงอาการฮึดฮัด ต้องการจัดตั้งรัฐบาลสู้กับพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมาก ในที่สุด ก็ถูกสอนมวยว่าต้องรู้จักเคารพกติกา ยอมรับผลการแข่งขัน ต้องแสดงความยินดีกับผู้ชนะและแสดงความเต็มใจที่จะร่วมงานด้วยเพื่อรักษาและเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย
สายวันพุธที่ 17 กันยายน 2551 ทันทีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เขาไม่ได้เสียเวลาขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่อยู่ข้างๆ แต่เดินอย่างรวดเร็ว ฝ่ากลุ่ม ส.ส. ไปยังฝั่งตรงข้าม ไปจับมือกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ เช่นกัน จับมือกันเพื่อให้รู้ว่าความแตกต่างคือลักษณะธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย เราต้องเคารพความแตกต่าง เราต้องเคารพคะแนนเสียงของคนส่วนใหญ่ แล้วเราก็ร่วมมือกันทำงาน คนอยู่ฝ่ายค้านก็ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลต่อไป หลังจากนั้น นายสมชายจึงเข้าไปกราบขอบคุณนายบรรหาร พล.ต.สนั่น และ ส.ส. คนอื่นๆ ที่สนับสนุนตน
นี่ต่างหากที่เป็นประชาธิปไตยแบบอารยะ
จะชอบนายสมชายหรือไม่ก็ไม่สำคัญ จะออกเสียงให้นายสมชายหรือนายอภิสิทธิ์ก็ไม่สำคัญ แต่สำคัญคือเราต้องเคารพกติกาของระบอบที่กำหนดขึ้น หากไม่ชอบ ก็ไปหาคะแนนเสียงมามากๆเพื่อแก้ไขระบอบดังกล่าว
นายสมชายเป็นนอมินี เป็นญาติ เป็นน้องเขยของนายกฯ ในอดีต แล้วอย่างไร ถ้าพ่อของผมเป็นนักโทษประหาร เพราะปล้นธนาคารกว่า 10 แห่ง ฆ่าคนตายกว่า100 ศพ แล้วสังคมจะต้องลงโทษผมที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านั้นด้วยหรือ
นายสมชายจะเป็นอะไร ประเด็นที่สังคมไทยจะต้องพิจารณาก็คือ เขาจะทำอะไรต่อไป เขาจะทำเพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ของครอบครัว หรือญาติและพวกพ้อง
วิธีการตัดสินคนจากการเป็นญาติ การเกี่ยวดอง คือวิธีคิดแบบอำนาจนิยมของสังคมเก่า ไม่ได้ดูคุณค่าของความเป็นคนที่แต่ละคนมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน ไม่ได้ดูคนที่ผลงานของเขา แต่กลับไปดูถูกคนเหนือ คนอีสานที่ตัดสินใจเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งว่า เพราะพวกเขาขายเสียง
เป็นวิธีคิดแบบเดิมๆ คือคิดว่าตนเองเก่ง พรรคที่ตนเองชอบจะต้องได้เป็นรัฐบาล ใครคิดไม่เหมือนตนเอง เป็นคนโง่ เป็นพวกขายเสียง ถูกครอบงำ ตนเองดี พรรคพวกของตนเองก็ดี ญาติพี่น้องของตนเองก็ดี แต่อะไรที่เป็นของคนอื่นเลวหมด
การเมืองใหม่จะต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของทุกๆ คน ต้องเคารพกฎหมายเหมือนกันหมด ถ้าศาลตัดสินว่านายสมัครเป็นลูกจ้างต้องออกจากตำแหน่ง คนอื่นๆ เช่น นายจรัญ หรือคุณหญิงจารุวรรณ ที่ทำงานเป็นลูกจ้างแบบนายสมัครก็ต้องออกจากตำแหน่งเหมือนกันด้วย
หากกลุ่มของนายกฯ ทักษิณถูกฟ้องและถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คนอื่นๆ ที่มีการกระทำคล้ายๆ กันกลับลอยนวลอยู่เช่นนี้ เมื่อไร บ้านเมืองนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นธรรม?
การเดินไปหาหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอย่างรวดเร็ว เป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่งในสังคมที่มีประชาธิปไตยเล็กๆ และโหยหาประชาธิปไตยแบบอารยะตลอดมา เช่น สังคมไทย
ถ้าจะให้ดี ผู้แพ้ในการลงคะแนนควรจะก้าวเร็วกว่าไปหา เพื่อแสดงความยินดีและเสนอตัวร่วมมือกันหาทางทำให้สภาที่มาจากประชาชนทำงานรับใช้ประชาชนมากขึ้น
ที่สำคัญควรจะคิดให้มากๆ ว่า ส.ส. คนหนึ่งไปเป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตรฯ นำการชุมนุมขับไล่รัฐบาลตั้งแต่เริ่มตั้งรัฐบาลได้ไม่กี่วัน กระทั่งนำเรื่องราวการประชุมสภาไปเล่าแบบเย้ยหยันทุกค่ำคืนหน้าทำเนียบนั้น คนคนนี้กำลังทำอะไรให้กับการเมืองในสภา ถ้าเขาชิงชังสาหัสขนาดนั้น เขายังรักษาสมาชิกภาพไว้เพื่อสิ่งใด รับเงินเดือนจำนวนมากไปทำไม และพรรคการเมืองที่บอกว่ายึดมั่นกับระบบรัฐสภามาตลอดนั้น คิดอะไรในใจที่ปล่อยให้เกิดภาวะทวิมาตรฐานเช่นนี้
นี่ถ้ามี ส.ส. พรรคฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งออกเสียงเลือกนายสมชายเป็นนายกฯ ในวันนี้ คนพวกนั้นยังจะได้เป็นสมาชิกของพรรคนี้ต่อไปอีกหรือไม่ หรือว่าเป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัวเช่นเดียวกับ ส.ส. คนหนึ่งที่นำประชาชนไปยึดครองทำเนียบรัฐบาล
การเมืองใหม่-รัฐบาลใหม่และทางเลือกใหม่ของสังคมไทย
อย่าลืมว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ล้มลุกคลุกคลานมา 61 ปี (พ.ศ. 2490-2551) เป็นผลพวงของอำนาจฝ่ายความมั่นคงและความคิดเก่าในสังคมที่จะต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้าน และการพยายามเก็บการเมืองเก่าเอาไว้ มันเนิ่นนานมากจนเกิดความเคยชินว่ายึดอำนาจได้แล้ว ทุกอย่างก็จบ มันเนิ่นนานจนทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ขาดการพัฒนา นักการเมืองไม่เคยต้องคำพิพากษา ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่ได้รับผลพวงจากรัฐประหารก็ไม่เคยต้องคำพิพากษาใดๆ ในการทำลายระบอบประชาธิปไตยแต่ละครั้ง ทั้งสองจึงสะสมนิสัยบางอย่างที่ไม่เคยมีการแก้ไขตลอดมา
ในห้วง 61 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มการเมืองอำนาจนิยม กลุ่มการเมืองแบบประชาธิปไตยตัวแทน (พรรคการเมือง) และกลุ่มประชาธิปไตยฝ่ายประชาชน สองกลุ่มแรกต่อสู้กันมากว่า 60 ปีแล้ว (อย่างน้อย) ยังไม่ยุติ กลุ่มที่ 3 ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นต้นมา
กว่า 100 วันมานี้ มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาโจมตีกลุ่มประชาธิปไตยแบบตัวแทน แล้วเรียกหาการเมืองใหม่ แต่วิธีการทำงานหลายอย่างของพวกเขากลับสร้างความสงสัยเพิ่มขึ้น เช่น การเมืองใหม่เพื่อประชาชนไยจึงเลือกเคารพกฎหมาย แต่ไม่เคารพระบอบการปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law) เช่น ดีใจตัวสั่นเมื่อคุณหญิงพจมานติดคุก ไม่พอใจที่นายกฯ ทักษิณหนีศาล เรียกร้องให้กลับมาฟังศาล เฮลั่นเมื่อสมัครหลุดจากตำแหน่ง ไชโยเมื่อจักรภพและนพดลต่างก็หลุดจากตำแหน่ง แต่กลับเงียบเมื่อถูกหมายจับกรณียึดทำเนียบ หรือฝ่าย นปก. เจ็บกับตาย แต่พันธมิตรฯ ไม่เป็นอะไร กรณียึด NBT หรือกรณีคนในศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นลูกจ้าง ฯลฯ
สังคมไทยต้องก้าวไปสู่ประชาธิปไตยแบบอารยะ
แน่นอนที่สุด ด้วยข้อจำกัดทางการเมืองคืออำนาจนอกระบบแทรกแซงระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ตลอดมาเป็นเวลานานถึง 6 ทศวรรษ (ขนาดทั่วทั้งโลกนึกว่าเมืองไทยจะไม่มีรัฐประหารแล้ว ยังกลับมาอีกในปี 2549 แล้วยังสร้างกลไกทิ้งไว้อีกมาก) ประชาธิปไตยแบบตัวแทนย่อมมีจุดอ่อนหลายด้าน ยิ่งนักการเมืองจำนวนมากถูกตัดสิทธิถึง 5 ปี บุคลากรการเมืองก็ยิ่งขาดแคลนหนัก การสัมผัสมือกันระหว่างนายกฯ คนใหม่กับหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านยิ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าชื่นชมมาก ที่ต้องปรบมือให้อย่างยิ่งก็คือคำยืนยันของแม่ทัพบก และนายทหารสำคัญๆ ที่จะไม่ทำรัฐประหารอีก เพราะว่าหมดสมัยแล้ว
หนทางที่เหลืออยู่ก็คือ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) ในสภา และประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) นอกสภา จะเรียกว่าการเมืองใหม่ให้ฟังดูตื่นเต้นก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ก็คือ ประชาธิปไตยแบบอารยะที่หลายประเทศยอมรับแล้วว่า เมื่อประชาชนตื่นตัวทางการเมือง มีความเป็นพลเมืองที่เอาการเอางาน (Active Citizenship) ไม่หลงติดอยู่แต่การเลือกตั้ง แต่สนใจและมีบทบาทในกิจการสาธารณะทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการกำหนดนโยบาย การออกกฎหมาย การบริหารงานของภาครัฐ การติดตามพฤติกรรม การทำงานของส.ส. และการถอดถอนนักการเมืองที่ด้อยคุณภาพและทุจริต ฯลฯ
สังคมสมัยใหม่มีความหลากหลาย ต้องเคารพความหลากหลายและไม่ใช่ดึงดันจะเอาชนะให้ฝ่ายอื่นๆ พ่ายแพ้หมด มีแต่ฝ่ายของตนเองชนะเท่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะมีแต่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้า เกิดความตึงเครียด การลงทุนหดหาย เศรษฐกิจฟุบ ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ การต่อสู้ต้องทำให้ทุกฝ่ายได้ ให้ส่วนรวมอยู่ได้ และต้องมีการหยุด
ในสังคมสมัยใหม่ที่มีประชากรจำนวนมาก ประชาธิปไตยแบบตัวแทนมีความจำเป็น แต่ประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมก็ไม่อาจขาดได้ ในความเป็นจริง คนที่มาจากการแต่งตั้งส่วนหนึ่งที่วุฒิสภา คือตัวแทนจากกลุ่มสาขา อาชีพต่างๆ ที่ต่อไปควรปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม ขณะเดียวกัน สภาผู้แทนฯ สามารถขยายบทบาทไปจัดการประชุมร่วมกับภาคประชาชน การเมืองภาคประชาชนสามารถจัดตั้งสภาของตนเองขึ้นได้ สามารถรวบรวมเงินกันเองหรือของบประมาณมาสร้างที่ทำการเอง ไม่ใช่ไปแย่งทำเนียบรัฐบาลมาเป็นของตน
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จริงควรเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองภาคประชาชน นำมาปรับปรุงโครงสร้างและบทบาทเสียใหม่
ประชาธิปไตยแบบอารยะที่ควรจะเกิดขึ้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ควรเป็นการพบปะเจรจาภาคส่วนต่างๆ ระดมความคิดเห็นจากหลายๆ ส่วน ไม่ใช่เฉพาะจากฝ่ายที่เผชิญหน้ากันด้วยการถอยจากจุดเดิม
บัดนี้ ประชาธิปไตยแบบตัวแทนก็ถอยแล้ว เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีแล้ว กองทัพก็ประกาศแล้วว่าจะไม่แทรกแซงระบอบประชาธิปไตยและสนับสนุนการเจรจา
บัดนี้ ประชาธิปไตยแบบอารยะใกล้จะมาถึงแล้ว รอแต่ว่ากลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมจะเสนอทางออกอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร หรือด้วยการถอยเช่นเดียวกับกลุ่มอื่นๆ
ธเนศวร์ เจริญเมือง
ที่มา : ประชาไท