WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, September 22, 2008

หุ่นกระบอกการเมือง (ตอนที่๑)

The Thai Democratic Rights Body
หุ่นกระบอกการเมือง
(ตอนที่๑)
โดย อาคม ซิดนี่ย์
วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑
เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในเวลานี้ ถ้าหากใครมองว่าเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ก็นับได้ว่าคนผู้นั้นมองการเมืองด้วยความไม่เข้าใจ เพราะในความเป็นจริงประเทศไทยเคยมีความขัดแย้งทางการเมืองเพียงครั้งเดียว นั่นก็คือความขัดแย้งระหว่างลัทธิคอมมูนิสต์ที่มีจีนและรัสเชียเป็นแกนนำกับค่ายโลกเสรีที่มีประเทศอเมริกาเป็นพี่ใหญ่ ความขัดแย้งและแย่งชิงความเป็นใหญ่ของสามประเทศมหาอำนาจดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ทั่วโลกทุกประเทศ หลายประเทศมีความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นแบ่งแยกประเทศเป็นเหนือและใต้ ทำสงครามห้ำหั่นกันจนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังเช่น เวียดนามและเกาหลี เป็นต้น
ประเทศไทยกับอเมริกาเป็นพันธมิตรถาวรตลอดกาลภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องร่วมทำสงครามต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยรัฐบาลไทยได้ส่งกำลังทหารไปร่วมรบและยินยอมให้อเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพื่อไปทำสงครามกับเวียดนาม ในขณะเดียวกันลัทธิคอมมิวนิสต์ก็แทรกซึมเข้ามาเพื่อบ่อนทำลายประเทศ โดยมีคอมมิวนิสต์ใหญ่ชื่อว่า พ.ท.พโยม จุลานนท์ (คุณพ่อของพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ณ เขายายเที่ยง)หรือสหายคำตันในฐานะ “เสนาธิการกองทัพปลดแอกฯ” ทำสงครามกองโจรกับรัฐบาลไทยอยู่หลายปี ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่าคือความขัดแย้งทางการเมืองเพียงครั้งเดียวของประเทศไทย ส่วนความวุ่นวายอื่นๆที่เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน ล้วนเป็นการช่วงชิงอำนาจทั้งนั้น
การช่วงชิงอำนาจที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคงไม่มีครั้งไหนที่ยาวนานเท่ากับเหตุการณ์ปฏิวัติยึดอำนาจรัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ หรือที่เรียกกันว่าวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่ว จากการบันทึกอันเป็นประวัติศาสตร์ว่า มีคณะนายทหารร่วมกับพลเรือนจำนวนหนึ่งภายใต้ชื่อว่า “คณะราษฎร์” ได้ใช้กำลังพลและอาวุธเข้าทำการยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๗) โดยมีจุดประสงค์ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และก็สืบเนื่องจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายหลังจากการยึดอำนาจนี่แหละครับที่ผมขอเรียกว่า “ปฏิวัติ” และผลพวงแห่งการปฏิวัติในครั้งนั้น ทำให้เกิดการช่วงชิงอำนาจอย่างยาวนานแม้กระทั่งจนทุกวันนี้
ผมเคยเข้าใจเช่นเดียวกับพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่ครับว่า เหตุการณ์แห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในเวลานี้ มันมีจุดเริ่มต้นมาจากความขัดแย้งส่วนตัวของคนสองคนคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น และคาดว่าเรื่องราวมันคงสามารถคลี่คลายไปได้เมื่อนายสนธิหมดมุขที่จะถล่มคุณทักษิณ แล้วมันก็เกือบจะเป็นจริงอย่างที่ผมคาดคิดไว้ เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่จัดโดยนายสนธิและสโรชาเริ่มแผ่ว อันสืบเนื่องจากผู้คนที่ติดตามรายการเริ่มจับโกหกได้ในหลายครั้ง ที่นายสนธิและนางสโรชามดเท็จและบิดเบือน จึงทำให้ประชาชนคนไทยที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเริ่มมีความผ่อนคลาย และสบายใจขึ้น เนื่องจากวันแห่งการรอคอยของคนไทยทั้งชาติกำลังงวดใกล้เข้ามาทุกขณะในเวลานั้น นั่นก็คืองานเฉลิมฉลองวันครองราชย์ ๖๐ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ในขณะที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรเริ่มกร่อย ป้าเปรม (ป้าครับ) กลับมีอาการของขึ้นด้วยการแต่งเครื่องแบบชุดทหารเต็มยศเดินสายไปปาฐกถาตามสถาบันฯและองค์ กรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการทหารอย่างโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือและโรงเรียนนายเรืออากาศ โดยมีเนื้อหาสาระในการชักชวนให้สังคมอย่าไปนับถือคนรวยและอย่าไปไหว้คนมีเงิน และให้มุ่งเน้นในเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมตลอดจนชูหลักปรัชญาที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง และที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือการปลุกระดมกองทัพไม่ต้องฟังคำสั่งของรัฐบาล ด้วยการเปรียบเทียบทหารคือม้า “ม้าของพระราชา” และรัฐบาลเป็นเพียงแค่จ๊อกกี้ มาแล้วก็ไป
การปาฐกถาของเปรมได้ถูกนำไปขยายผลอย่างมีประสิทธิภาพโดยผ่านเครือข่ายองคมนตรีและบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯไม่ว่าจะเป็นนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง และที่สำคัญที่สุดคือศ.ดร.เกษม วัฒนชัย องคมนตรีผู้ซึ่งมีบทบาทสูงเป็นอย่างยิ่งในการทำหน้าที่รับใช้เปรมอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้แล้วยังมีดร.ชัยอนันท์ สมุทวาณิช ผู้อำนวยการโรงเรียนวชิราวุธและคณาจารย์ตามสถาบันรวมทั้งองค์กรธุรกิจต่างๆที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯ ตลอดจนสื่อมวลชนอีกจำนวนหนึ่ง และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั่นก็คือพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ ได้ทำหน้าที่ร่วมด้วยช่วยอุ้มนายสนธิอย่างชนิดไม่ต้องปิดบังอำพราง
กลุ่มบุคคลดังกล่าวข้างต้นผมขออนุญาติเรียกสั้นๆว่า “เครือข่ายเปรม” เป็นขบวนการที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการโค่นล้มคุณทักษิณอย่างเป็นระบบภายใต้แผนการที่วางไว้อย่างรัดกุม ถ้าหากท่านผู้อ่านได้สังเกตุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก็จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ยุทธวิธีการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นการรุกหรือรับนั้น เป็นไปแบบสอดประสานรับกันอย่างเป็นระบบ แม้จะมีลักษณะเพลี่ยงพล้ำให้เห็นบ้างในบางครั้ง แต่ก็มีตัวละครหน้าใหม่โผล่ออกมาแก้ไขสถานการณ์ให้กลับคืนเป็นฝ่ายได้เปรียบในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนกับละครหุ่นกระบอกที่ต้องการให้ฝ่ายไหนรุกหรือรับก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ชักรอกหุ่นที่ยืนอยู่หลังฉาก (เปรมเป็นเพียงผู้กำกับอยู่หน้าเวที ทำหน้าที่ล่อเป้าไม่ให้ผู้คนจับได้ว่ามีผู้ชักรอกอยู่ข้างหลัง)
เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรได้รับการอุ้มชูจากเครือข่ายเปรมอย่างเปิดเผย นายสนธิจึงไม่รีรอที่จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และยกระดับการต่อสู้จากท๊ากกก....ษิณ.........ออกไป ซึ่งเพียงต้องการขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวนายกฯในเบื้องต้น มาเป็นโค่นรัฐบาลและล้มล้างนโยบายประชานิยมที่นายสนธิเรียกว่าระบอบทักษิณ ด้วยการยื่นถวายฎีกาขอนายกฯพระราชทาน! จึงยิ่งเป็นการขับเน้นเครือข่ายที่ช่วยกันโค่นล้มให้ได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมว่า การยื่นฎีกาขอนายกฯพระราชทานนั้นมันมีจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวโดยดร.ชัยอนันท์เป็นหัวหอกและราชนิกูลกลุ่มหนึ่งได้เข้าชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานรัฐบาลชั่วคราว และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ให้การสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า จนเป็นที่มาของมาร์คม.๗ ซึ่งรายละเอียดของฎีกามีดังต่อไปนี้
5 มีนาคม 2549

ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ตามที่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำการยุบสภา โดยมิได้มีเหตุอันควรที่ถือธรรมเนียมปฏิบัติ ตามครรลองของระบบรัฐสภา การกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการทำลายระบบรัฐสภาแล้ว ยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ประชาชนได้มาชุมนุมมากขึ้นเป็นลำดับ กลุ่มบุคคลผู้หวังดีต่อประเทศชาติหลายกลุ่มเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก แต่ก็ไม่เป็นผล นายกรัฐมนตรีกลับสั่งให้มีการระดมประชาชนเพื่อมาสนับสนุนตนเอง โดยไม่ใส่ใจต่อคำเรียกร้องของประชาชน
บัดนี้ พรรคฝ่ายค้านได้ตกลงร่วมกันไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะทำให้พรรคไทยรักไทยกลายเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวในสภา การต่อต้านของประชาชนจะมีมากขึ้นทั้งก่อนระหว่างและหลังการเลือกตั้งนำไปสู่สภาวการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นทางออกใดนอกจากการขอพระราชทานพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่ง ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยนำจารีตประเพณีการปกครอง ตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีรัฐบาลชั่วคราวทำหน้าที่แก้ไขรัฐธรรมนูญและดูแลเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นการเริ่มต้นกิจกรรมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยใหม่ โดยพรรคการเมืองทุกพรรคมีโอกาสในการแข่งขันอย่างเท่าเทียมและบริสุทธิ์ยุติธรรม
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า
นายแพทย์มงคล ณ สงขลา
ม.ร.ว. ยงยุพลักษณ์ เกษมสันต์ ขอเดชะ
การขอนายกฯพระราชทานได้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวาง ทั้งจากกลุ่มบุคคลที่รักหวงแหนระบอบประชาธิปไตยและกลุ่มต่อต้านเผด็จการ นอกจากนี้แล้วยังมีกลุ่มบุคคลที่รักและชื่นชอบในผลงานบริหารบ้านเมืองตามแนวนโยบายประชานิยมของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำการเคลื่อนไหวอยู่ทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้ภาคใต้อันเป็นเขตอิทธิพลของพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ การต่อต้านดำเนินไปด้วยความเข้มข้นขึ้นตามกาลเวลา (ทำให้มีการรวมตัวของกลุ่มต่างๆมาเป็นแนวร่วมภายใต้ชื่อว่า “แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ” หรือที่รู้จักกันในนามนปก. ในเวลาต่อมา)
เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสนธิ ลิ้มทองกุลก็เลยกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกและไม่โดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไป เพราะมีกุ๊ยกวนเมืองตลอดกาลเพิ่มขึ้นมาเสริมความแข็งแกร่งอีก ๔ หน่ออันประกอบด้วย เฒ่าหัวเกรียนจำลอง ศรีเมือง,มนุษย์ประหลาดสมศักดิ์ โกศัยสุข,เด็กเลี้ยงแกะสุริยใส กตะศิลา,และจอมลวงโลกพิภพ ธงไชย เมื่อเป็นเช่นนี้นายสนธิก็เลยมีความมั่นใจเหมือนได้ยาชูกำลังตำรับสวรรค์ประทาน ถึงกับกล้าประกาศก้องบนเวทีปราศรัยว่าเป็นสมาชิกพรรคจักรี และขยายความว่า “จักรีที่แปลว่าราชวงค์จักรี”
คำปราศรัยของนายสนธิได้ถูกรัฐบาลทักษิณดำเนินการทางกฏหมายในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่สุดท้ายอัยการสูงสุดมีคำสั่งถอนฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยระบุเหตุผลการถอนฟ้องว่า การดำเนินคดีดังกล่าวต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ และเพื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายเกิดความสมานฉันท์ การที่นายสนธิและสมัครพรรคพวกสามารถลอยตัวอยู่เหนือกฏหมายได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้ทหารโจรถือโอกาสทำการยึดอำนาจด้วยการอ้างเหตุเผชิญหน้าของกลุ่มผู้ต่อต้านและสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ
การยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙กันยายน ๒๕๔๙ ทำให้มองเห็นภาพของเปรมชัดเจนเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้มีอำนาจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีนำคณะนายทหารโจรที่ทำการยึดอำนาจเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯกลางดึก, หรือเจ้ากี๊เจ้าการในการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีแม่ทัพนายกองมุ่งหน้าไปบ้านสี่เสาชนิดหัวกระไดไม่แห้ง ตลอดจนการออกมารับประกันพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย และแม้การครอบงำกระบวนการยุติธรรมด้วยการโทรศัพท์ตรงไปสั่งการเอง จนส่งผลให้มีคำสั่งตัดสินจองจำอดีตสามกกต.โดยไม่รอลงอาญาและยุบพรรคไทยรักไทยแล้วเพิกถอนสิทธิ์นักการเมือง ๑๑๑ คนที่เป็นกรรมการพรรค (โดยคณะตุลาการโจรที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร) ในเวลาต่อมา ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นเทปเสียงที่มือดีแอบดักฟังและอัดบันทึกไว้ แล้วถูกดร.จักรภพ เพ็ญแขนำไปเปิดเผยกลางสนามหลวงภายหลังจากที่อาคม ซิดนี่ย์เปิดโปงผ่านบทความได้ไม่นาน
ภายหลังการยึดอำนาจกลุ่มทหารโจรที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของเปรมก็ได้รวบรวมกลุ่มบุคคลที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับคุณทักษิณเข้าไปทำงานตามองค์กรอิสระต่างๆที่พวกมันจัดตั้งขึ้นมา เพื่อรองรับรัฐบาลเถื่อน (ที่พวกมันจัดตั้งขึ้นมาอีกนั่นแหละ) ทำหน้าที่ในการเข่นฆ่าคุณทักษิณและพลพรรคโดยมีเจตนาให้หลุดพ้นจากเส้นทางการเมือง
การที่โจรมันครองเมืองในครั้งนี้ ต้องถือเป็นความโชคดีของพี่น้องประชาชน ที่ทำให้ได้เห็นพวกมิจฉาชีพที่แฝงเข้ามาในหลากหลายสาขาอาชีพ รวมตัวกันเป็นโจรเสื้อนอกแยกย้ายไปทำหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตุลาการโจร(ที่ทำให้ตาชั่งเอียง), โจรรัฐธรรมนูญ(เขียนร่างบัญญัติข้อบังคับโจรที่เรียกเสียสุดหรูว่า “รัฐธรรมนูญ ๕๐” ที่ทำให้งานบริหารราชการแผ่นดินไม่อาจขับเคลื่อนได้ในเวลานี้), นักวิชาการและคณาจารย์โจร(ทั้งสอนและวิจารณ์นอกตำราอันตรงข้ามกับหลักประชาธิปไตย), สื่อโจร(บิดเบือนและปลุกกระแสให้เกิดการเผชิญหน้า), สมณโจรโพธิรักษ์ (สนับสนุนให้เกิดการนองเลือด) โดยมีองค์กรอิสระสมุนโจรเป็นผู้ชี้เป้า
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นตลอดสามปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ผมคงจะไม่นำเสนอในรายละเอียดเกี่ยวกับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งให้เป็นการเสียเวลาท่านผู้อ่าน เพราะเนื้อหาที่กล่าวมาทั้งหมดคงเพียงพอที่จะสรุปถึงความผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ทั้งหมดทั้งปวงมีที่มาจาก
๑. ความต้องการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ดูได้จากการป่วนเมืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยเริ่มจากการขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรมาสู่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์จนกระทั่งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และแม้แต่รัฐบาลใหม่อย่างนายสมชาย วงค์สวัสดิ์ที่ยังไม่ทันได้เริ่มทำงานก็มีแนวโน้มจะถูกขับไล่แล้วครับ
๒. ต่อต้านนโยบายประชานิยม ก็คงมีประเทศไทยประเทศเดียวละครับที่ต่อต้านในสิ่งที่เป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ในประเทศ
๓. การขับไล่และทำลายผู้นำที่มีผลงานมากที่สุดและเป็นที่ชื่นชอบจนได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชนทั่วทั้งประเทศอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมคงมองเป็นอื่นไม่ได้ครับ นอกจากเป็นการจงใจกำจัดคนดีมีความสามารถให้พ้นทาง
เปรมแม้จะได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีบารมีสูงคนหนึ่งในสังคมไทย ชนิดที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ก็จริงอยู่ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าขีดความสามารถของเปรมนั้นห่างไกลเกินกว่าที่จะควบคุมเครือข่ายทั้งหมดที่มีอยู่ได้อย่างยาวนานขนาดนี้แน่นอน ผมถึงได้บอกตั้งแต่ต้นว่า เปรมเป็นเพียงผู้กำกับอยู่หน้าเวที ทำหน้าที่ล่อเป้าไม่ให้ผู้คนจับได้ว่ามีผู้ชักรอกอยู่ข้างหลัง แล้วใครเป็นผู้ชักรอกหุ่นกระบอกการเมืองในครั้งนี้ แล้วกลุ่มพันธมิตรอาศัยอิทธิพลของใครจึงสามารถทำการเคลื่อนไหว โดยเรียกตัวเองและพวกพ้องเป็น “กองทัพพระราชาและกองทัพพระราชินี” ด้วยการเขียนข้อความดังกล่าวติดข้างรถนำฝูงชนเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ที่สำคัญที่สุดหน้ารถขบวนมีการติดธง สก. อันเป็นพระปรมาภิไธยย่อของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ โดยไม่มีการคัดค้านหรือจัดการจากกลุ่มบุคคลที่พล่ามอยู่ตลอดเวลาว่าจงรักภักดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีปฏิกิริยาอันใดจากสำนักราชวัง ด้วยความจงรักภักดีเช่นกัน ผมจึงต้องค้นหาความจริงมานำเสนอท่านผู้อ่านให้ได้ โปรดติดตามตอนต่อไป
ก่อนจากกันในวันนี้ ผมมีเรื่องสำคัญที่จะกราบเรียนท่านผู้อ่านได้โปรดทราบโดยทั่วกันว่า
๑. อาคม ซิดนี่ย์ มีสมาชิกอยู่ทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ แต่ไม่เคยแต่งตั้งตัวแทน
๒. บทความอาคม ซิดนี่ย์ มีไว้สำหรับเผยแพร่โดยไม่คิดมูลค่า และไม่มีการจัดจำหน่าย
๓. อาคม ซิดนี่ย์ ไม่ใช่ทั้งพ่อค้าและนักธุรกิจ ดังนั้นหากมีการแอบอ้างนำชื่ออาคม ซิดนี่ย์ไปทำโฆษณาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของใครบางคน ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด
๔. อาคม ซิดนี่ย์ ไม่ขอรับบริจาคสำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่ขอความร่วมมือมายังพี่น้องทุกคน จงช่วยกันส่งต่อข้อมูลที่ผมนำเสนอให้มากที่สุดเพื่อชัยชนะของพี่น้องชาวไทยทุกคน
๕. ขอให้พี่น้องและเพื่อนร่วมชาติทุกคนจงเลิกกลัวเกินเหตุครับกับไอ้มือที่มองไม่เห็น มันเป็นเพียงคนธรรมดาเหมือนเราท่านนี่แหละ แต่ถูกอุปโลกน์ให้มีสถานะเหนือมนุษย์ หากพวกเราเลิกกลัวเมื่อไหร่ พวกมันอยู่ไม่ได้ครับ
อาคม ซิดนี่ย์
Copyright © 2008 arkomsydney
อ่านแล้วกรุณาส่งต่อ
ติดตามบทความย้อนหลังได้ที่