WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, September 25, 2008

ลากไส้ขบวนการกบฏพันธมิตรฯ.....โดย Albatross (เพิ่มเติม)

ลากไส้ขบวนการกบฏพันธมิตรฯ

โดย.....Albatross

21 กันยายน 2551

ในที่สุดบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทที่มีชนักคดี ปรส.อัปยศขายชาติมูลค่ากว่าแสนล้านบาทติดหลังอยู่ก็เริ่มปล่อยเกาะกบฏพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวและหิวโหย เพราะคดีดังกล่าวได้หมดอายุความไปแล้ว อีกทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช หนึ่งเดียวที่เคยประกาศกร้าวว่าจะทวงเงินของแผ่นดินจากคดีนี้คืนก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้การสนับสนุนกบฏพันธมิตรฯ อีกต่อไป ม็อบจัดจ้างจึงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจนแกนนำรู้สึกวิตกกังวลอย่างหนัก การห้อมล้อมเหล่าแกนนำเพื่อป้องกันการบุกจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกลายเป็นหน้าที่หลักของเหล่าสาวก “สันติอโศก” ของนายรักษ์ รักพงศ์ หรือ โพธิรักษ์ ซึ่งไม่เคยลดจำนวนลงเลย สันติอโศกคือใคร ทำไมจึงยอมปกป้องแกนนำกบฏพันธมิตรฯ โดยไม่สนใจสินจ้างรางวัลและถวายชีวิตให้ได้ถึงเพียงนี้

การขับเคลื่อนม็อบพันธมิตรฯ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน หลายต่อหลายครั้งที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมบางตาแค่หลักร้อยแต่สามารถทำให้เพิ่มขึ้นได้ชั่วข้ามคืนโดยกำลังเสริมจากสาวกสันติอโศก ใครคือผู้สั่งรวมพลสาวกสันติอโศก จำลอง หรือ โพธิรักษ์ ?

ทุกๆที่ ที่ม็อบกบฏพันธมิตรฯ หยุดปักหลัก สิ่งอำนวยความสะดวกในทุกๆด้านที่เป็นสมบัติของ กทม.จะเข้าถึงทันที ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านเช่น นปก.ต้องอยู่กันอย่างทุลักทุเลไม่เคยได้รับการเหลียวแลและถูกหมางเมินเมื่อถูกร้องขอ เผลอเมื่อไรเป็นต้องถูกเทศกิจรื้อเวทีทุกครั้งไป แต่ถ้าเป็นม็อบกบฏพันธมิตรฯ กทม.จะนำแผงเหล็กไปกั้นการจราจรให้ทันที เป็นเพราะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนของพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการทำลายชาติของกบฏพันธมิตรฯ อย่างนั้นหรือ ?

นักวิชาการตลอดจนแพทย์บางส่วน ผู้ได้รับการยกย่องจากสังคมได้ร่วมมือกับสื่อเกือบทุกแขนงออกมาทำลายล้างรัฐบาลที่เพิ่งเริ่มทำงานมาได้ไม่นานเพราะรัฐบาลชั่วร้ายจนเหลือทนหรือเสียผลประโยชน์เพราะรัฐบาลคุณสมัครฯ ประกาศสานต่อนโยบายของรัฐบาลคุณทักษิณฯ กันแน่ ?

คนที่เข้าไปร่วมชุมนุมกับกบฏพันธมิตรฯ แน่นอนว่าต้องมีทั้งที่ถูกจ้างมาและพลังบริสุทธิ์ แต่การที่พลังบริสุทธิ์ยอมทุ่มเทจิตวิญญาณเข้าร่วมชุมนุมและปกป้องแกนนำด้วยชีวิต เป็นเพราะพวกเขาเชื่อในสิ่งที่สนธิฯ โกหกหรือต้องการจะปกป้องอะไรบางอย่างที่ตัวเองรักและเทิดทูน ?

“แล้วเหล่าชนชั้นสูงล่ะ......ทำไมจึงไม่ชอบรัฐบาลประชาธิปไตย”

“เพราะเชื่อสนธิฯ หรือเห็นแก่ตัว ?”

หลายกลุ่มที่กล่าวไว้ข้างต้นเป็นตัวอย่างกลุ่มหลักๆ ที่กำลังทำตัวเป็นศัตรูกับรัฐบาล แต่ถ้าเพ่งเล็งไปที่ม็อบกบฏพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบ กลุ่มที่น่าที่จะนำออกมาตีแผ่ให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้รับรู้มากที่สุดเพราะเป็นกลุ่มกำลังหลักที่ทำให้ม็อบพันธมิตรฯ คงรูปอยู่ได้หน้าทำเนียบดังเช่นทุกวันนี้คือ “สาวกสันติอโศก” จึงขอตีแผ่คนกลุ่มนี้ก่อนเป็นกลุ่มแรกก่อนจะไปถึงกลุ่มอื่นๆ เป็นลำดับต่อไป

เป็นที่ทราบกันดีว่าลัทธินอกรีตสันติอโศกถูกก่อตั้งขึ้นโดยโพธิรักษ์พระนอกรีตผู้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับมหาเถรสมาคมไทย เดิมชื่อ นายมงคล รักพงษ์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น นายรัก รักพงษ์) เป็นคนศรีษะเกษโดยกำเนิดมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและมีวาจาเป็นเลิศ อดีตเป็นผู้กำกับละครเวทีมือทองทางโทรทัศน์ผู้โด่งดังเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ในช่วงที่ยังมีอาชีพเป็นผู้กำกับ นายรัก รักพงษ์ จัดว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยรายได้มหาศาลที่ตัวเองสามารถหามาได้โดยง่าย จากงานในวงการบันเทิงและงานสอนหนังสือถึงเดือนละ 120,000 บาท ในขณะที่เงินเดือนนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเท่ากับ 40,000 บาท

นายรัก รักพงษ์ เสพสุขอยู่บนกองเงินกองทองได้ไม่นานก็เกิดอาการผิดเพี้ยนทางอารมณ์อย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากการเสพสุขจนเอียน คิดว่าความสุขที่กำลังเสพอยู่นั้นยังไม่ถึงที่สุด จึงคิดหาวิธีที่จะสามารถสร้างความสุขให้ตัวเองได้มากกว่าเดิมโดยเริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์อย่างจริงจังจนถึงขั้นงมงายและออกมายืนยันกับสาธารณะว่าไสยศาสตร์มีจริงและตนเองคือผู้ขมังเวทวิทยาคมไสยศาสตร์มนต์ดำ ฯ จึงถูกปฏิเสธจากวงการบันเทิงแต่ก็อ้างว่าตนเองเป็นผู้ละทิ้งวงการออกมาเอง นายรักฯ ดำรงตนเป็นผู้ขมังเวทอยู่พักใหญ่ก่อนตัดขาดจากทางโลกมาศึกษาพระธรรมได้ถึงขั้นแตกฉานและพบว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดีกว่าไสยศาสตร์ที่เคยงมงายจึงตัดสินใจออกบวชเป็นพระภิกษุภายใต้ข้อบัญญัติแห่งมหาเถรสมาคมไทย โพธิรักษ์บวชอยู่ได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องลาออกจากการเป็นพระภิกษุของมหาเถรสมาคมด้วยเหตุผลที่อ้างว่าตนและพวกไม่สามารถปฏิบัติตามข้อบัญญัติของมหาเถรสมาคมที่ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แต่เหตุผลที่แท้จริงคือ โพธิรักษ์ได้อวดอุตริมนุษย์ธรรมแอบอ้างตนเป็นพระอรหันต์และขอเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัท แต่ถูกปฏิเสธโดยพระผู้ใหญ่เพราะพรรษายังน้อย ทำให้ โพธิรักษ์ หันหลังให้กับมหาเถรสมาคมและประกาศลัทธิใหม่โดยมีตัวเองเป็นเจ้าลัทธิทันที

ด้วยกิริยาสำรวมน่าเลื่อมใสและสีจีวรสีไม้กรักที่ไม่เหมือนพระภิกษุทั่วไปประกอบกับเป็นผู้แตกฉานในพระพุทธศาสนาและมีวาจาเป็นเลิศจึงได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้เคร่งศาสนาในชนบทอย่างรวดเร็ว โพธิรักษ์จึงจัดตั้งชุมชนสันติอโศกขึ้นและขยายสาขาออกไปได้อย่างรวดเร็วในหลายจังหวัดเช่น ชุมชนปฐมอโศก จ.นครปฐม ชุมชนศรีษะอโศกที่บ้านเกิด จ.ศรีษะเกษ ชุมชนสีมาอโศก จ.นครราชสีมา เป็นต้น โพธิรักษ์ได้เร่งเผยแผ่ลัทธิของตัวเองด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการบริจาคโดยสร้างโรงพิมพ์เพื่อผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เอง สร้างห้องอัดสำเนาเทปคลาสเสทคำสอนของตัวเองออกจำหน่ายโดยใช้แรงงานของเหล่าสาวกที่ไม่ต้องเสียเงินจ้างเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว คำสอนของโพธิรักษ์จึงสามารถแพร่ออกไปได้อย่างรวดเร็ว

ชุมชนสันติอโศกเป็นชุมชนของผู้ปฏิบัติธรรมที่ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา นักปฏิบัติธรรมในชุมชนสันติอโศกส่วนใหญ่เป็นพวกเคร่งศาสนาและปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้ว แต่เบาปัญญาเพราะการศึกษาขั้นพื้นฐานต่ำ จึงถูกชักจูงได้ง่ายและหลงเชื่ออย่างงมงายบางคนถึงขั้นสามารถตายแทนโพธิรักษ์ได้ วิธีการชักจูงคนเหล่านี้ให้เข้ามาปฏิบัติธรรมจะใช้วิธี ให้สาวกไปชักชวนคนใกล้ชิดด้วยวิธีและคำพูดที่ได้รับการปลูกฝังเป็นเวลานานโดยไม่รู้ตัวจากโพธิรักษ์ เรียกได้ว่าสามารถถอดคำพูดของโพธิรักษ์ออกไปได้ชนิดคำต่อคำเลยทีเดียว โดยสร้างความน่าเชื่อถือให้ชุมชนด้วยการอ้างถึงผู้มีฐานะและชื่อเสียงที่แวะเวียนเข้ามาทำบุญว่าเป็นส่วนหนึ่งของสันติอโศก ด้วยวาทศิลป์เดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนนี้เองทำให้ชุมชนสันติอโศกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดมีการบริหารจัดการปัจจัย 4 แบบระบอบคอมมิวนิสต์ ทุกคนในชุมชนที่กินนอนอยู่ประจำจะร่วมกันทำงานตามความถนัดและได้รับมอบหมายด้วยความซื่อสัตย์ ผลิตผลที่ได้ทุกชนิดจะเก็บเข้าสู่ส่วนกลาง แล้วดำเนินการจัดสรรปันส่วนตามที่แต่ละคนต้องการ แต่ด้วยเหตุที่ทุกคนถูกปลูกฝังอย่างฝังหัวว่าให้อยู่อย่างสมถะทุกคนจึงพร้อมใจกันแข่งกันเก่า(ใส่เสื้อผ้าเก่าไม่เอาของใหม่) แข่งกันอด(อาหาร) จึงไม่เคยมีปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องการแบ่งผลประโยชน์เกิดขึ้นเลย นับว่าเป็นวิธีการบริหารจัดการที่แยบยลมาก

สำหรับสาวกที่ไม่สามารถอยู่ประจำในชุมชนได้จะถูกขอร้องให้นำเมล็ดพันธุ์พืชติดตัวกลับไปปลูกที่บ้านตัวเองด้วย โดยหลอกว่าสำนักจะส่งสาวกไปช่วยดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ สาวกที่นำเมล็ดพันธุ์กลับไปไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงขอให้ช่วยปลูกในที่ดินของตัวเองให้ก่อนเท่านั้น สำหรับผลผลิตที่ได้จะนำกลับไปบริโภคที่สำนัก แต่ในความเป็นจริงสันติอโศกไม่เคยส่งสาวกออกไปช่วยดูแลให้ตามที่ได้บอกไว้เลยโดยอ้างว่าสาวกป่วย หรือขาดกำลังคนในช่วงนั้นๆ เจ้าของที่ดินจึงต้องกลายเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมดและยินดีส่งผลผลิตที่ได้ทั้งหมดไปให้สำนักด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าเป็นการบำเพ็ญเพียรอย่างหนึ่งโดยมีน้อยคนที่จะรู้สึกสงสัยในกลอุบายหลอกใช้งานในลักษณะนี้ ทำให้สันติอโศกสามารถทำกำไลจากการเปิดร้านขายผลิตผลทางการเกษตรที่มีอยู่ทั่วประเทศได้โดยไม่ต้องลงทุนเป็นมูลค่ามหาศาล ฉะนั้นโรงทานทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วไปของสันติอโศกที่ทำตัวเป็นนักบุญชอบแจกอาหารให้คนจนกินฟรีช่วงเทศกาลต่างๆ จึงเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อจูงใจให้คนที่หลงเชื่อเข้าไปติดบ่วงเป็นสาวกต่อไป

ผู้ที่ประสงค์จะขอบวชเป็นนักบวชในลัทธินอกรีตสันติอโศก ต้องนุ่งขาวห่มขาวเข้าไปปฏิบัติตัวตามคำสอนของโพธิรักษ์อย่างเคร่งครัด เรียกว่า "นาค" ในช่วงนี้นาคจะถูกกลั่นแกล้งถากถางสารพัดจากนักบวชคนอื่นๆ เรียกว่า "รับน้อง" อย่างสนุกสนาน โดยอ้างว่าเป็นวิธีการพิสูจน์จิตใจว่าจะสามารถลดละกิเลสได้จริงหรือไม่ พระอุปปัชชาเถื่อนนอกรีตของลัทธินี้คือโพธิรักษ์เพียงคนเดียว วิธีการบวชก็แสนง่ายเพียงโพธิรักษ์พอใจและได้รับความเห็นชอบจากพระนอกรีตด้วยกันก็จะเรียกนาคเข้าไปพบแล้วกล่าววาจาว่า "ท่านเป็นพระภิกษุแล้ว" เท่านี้นาคก็จะกลายเป็นนักบวชของลัทธิที่สามารถใช้คำแทนตัวเองว่า "อาตมา" ได้ทันที ไม่ต้องมาถามความสมัครใจให้เสียเวลาตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ นับเป็นพุทธแบบเพี๊ยนๆตามแต่ใจจะคิดของโพธิรักษ์โดยแท้

โพธิรักษ์ดื้อแพ่งเลี่ยงบาลีปฏิเสธคำขอร้องของมหาเถรสมาคมที่ขอให้โพธิรักษ์และนักบวชผู้ติดตามปฏิบัติให้เป็นแบบอันเดียวกันกับภิกษุอื่นๆ ด้วยการอ้างว่าตนและพวกได้ลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้วกฎของมหาเถรสมาคมจึงไม่สามารถบังคับตนและพวกได้ มหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นว่าโพธิรักษ์กำลังสร้างอาณาจักรแห่งลัทธิใหม่ขึ้น แต่ยังคงอ้างตนว่าเป็นภิกษุในบวรพุทธศาสนา จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับโพธิรักษ์จนถึงขั้นถูกจับกุมคุมขังและพ่ายแพ้คดีพธิรักษ์ถูกสั่งบังคับตามคำพิพากษาห้ามเรียกตนเองว่าพระภิกษุและห้ามแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ตั้งแต่นั้นมาโพธิรักษ์จึงบัญญัติชื่อตัวเองใหม่เป็น สมณะโพธิรักษ์ แล้วนุ่งห่มชุดแขนยาวสีไม้กรักทับด้วยจีวรสีขาว จนกระทั่งคดีความเริ่มส่างซาลงจึงเปลี่ยนสีจีวรกลับไปเป็นสีไม้กรักตามเดิมแต่ยังคงใส่ชุดแขนยาวสีไม้กรักไว้ด้านในเพื่อเลี่ยงกฎหมาย มหาจัญไรเคยขอให้ คุณทักษิณฯ ซึ่งกำลังมีอำนาจอยู่ในขณะนั้นช่วยเหลือเรื่องคดีความของสมณะโพธิรักษ์ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้มีพระคุณเคยเป็นผู้ชักนำ คุณทักษิณฯ เข้าสู่วงการการเมือง แต่กลับได้รับการปฏิเสธ สมณะโพธิรักษ์โกรธแค้น คุณทักษิณฯ เป็นอันมากถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า

ทักษิณฯ มันโอหัง ต้องเอามันลงจากบัลลังก์ให้รู้สำนึก

สาวกทุกคนของสันติอโศกต้องทำลายพระพุทธรูปที่เคยมีไว้ในบ้านทั้งหมด และห้ามกราบไหว้เพราะโพธิรักษ์บัญญัติไว้ว่าการกราบไหว้พระพุทธรูปเป็นความผิดเพี๊ยนของพระพุทธศาสนาไม่ใช่การกระทำของชาวพุทธ เมื่อสาวกต้องการจะระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าโดยตรงหรือนึกถึงโพธิรักษ์ก็ได้เพราะโพธิรักษ์กับพระพุทธเจ้าไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อเข้าร่วมขายชาติกับม็อบกบฏพันธมิตรฯ โพธิรักษ์กลับกลืนน้ำลายตัวเองอย่างหน้าด้านๆ โดยสั่งให้สาวกนำโต๊ะหมู่บูชาอันมีพระพุทธรูปเป็นองค์ประธานตั้งไว้ในเต้นท์ที่โพธิรักษ์ใช้เป็นที่นอน โพธิรักษ์รวมทั้งเหล่าสาวกทุกคนล้วนกราบไหว้พระพุทธรูปองค์นั้นเฉกเช่นเดียวกันกับพุทธบริษัททั่วไปโดยให้เหตุผลว่าการกราบไหว้พระพุทธรูปเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า

ด้วยเหตุแห่งคดีความได้สร้างรอยแค้นที่ฝังลึกให้กับสมณะโพธิรักษ์จนเกิดแรงอาฆาตอำนาจรัฐอย่างรุนแรงและเป็นช่องทางให้มหานอกรีตผู้ถูกปฏิเสธจากพี่น้องร่วมสถาบัน จปร.อันทรงเกียรติ ชักจูงเข้าสู่เวทีพันธมิตรอย่างง่ายดายและกลายเป็นกำลังหลักของพันธมิตรในวันนี้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองที่ จ.กาญจนบุรี และผลทางการเมืองในอนาคต

ด้วยเหตุนี้สาวกสันติอโศกจึงกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์คอยปกป้องเหล่าแกนนำกบฏพันธมิตรฯ ตามคำบัญชาของโพธิรักษ์อย่างถวายชีวิต งานทำครัว หุงหาอาหาร ตลอดจนงานกุลีภายในพื้นที่หน้าทำเนียบทุกชนิดรวมไปถึงการเก็บอุจจาระเหล่าสาวกเหล่านี้จะยินดีทำอย่างเต็มใจ การเดินทางเข้าไปสมทบกันหน้าทำเนียบจะถูกจัดสรรคิวโดยจำลองอย่างเป็นระบบโดยใช้รถบรรทุกโดยสารสองแถวกองทัพธรรมมูลนิธิที่มีอยู่จำนวนมากของสันติอโศกเป็นยานพาหนะขนสาวก เพื่อสลับสับเปลี่ยนสาวกให้มีความสดอยู่เสมอ โพธิรักษ์จึงเปรียบเสมือนเป็นแม่ทัพกองหนุนชั้นเลิศของกบฏพันธมิตรฯ เพื่อโค่นรัฐบาลของประชาชนและล้มล้างประชาธิปไตย

โพธิรักษ์ทำไปเพื่อล้างแค้นเท่านั้นหรือ? คำตอบคือ “ไม่ใช่” เป้าหมายที่แท้จริงของโพธิรักษ์คือ ต้องการประกาศให้ลัทธิของตัวเองเป็นลัทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายและยึดอำนาจการปกครองหมู่สงฆ์ทั้งประเทศจากมหาเถรสมาคม ส่วนเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลนั้นเป็นของกบฏจำลอง ที่ต้องการกลับมาบริหารประเทศด้วยทางลัด จึงเป็นผลประโยชน์ร่วมกันบนพื้นฐานความขายชาติเยี่ยงสัตว์นรกที่ลงตัว

จาก thaifreenews