คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
หนังสือ “นินทาประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้านดักดาน) จัดพิมพ์แล้วเสร็จ จัดส่งให้ผู้สั่งจองตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2551 ส่วนท่านที่ต้องการส่งเป็นของขวัญปีใหม่ รีบสั่งซื้อได้ทาง vattavan.com ด่วน ชักช้าต้องรอต้นปีหน้า เพราะสินค้าหมดก่อน!!!..
เย็นวันศุกร์ที่แล้ว ได้ยินเสียงเพลงจากข้างบ้านดังแว่วมาด้วยการขับขานของนักร้องสตรี ซึ่งร้องเป็นภาษาสเปนว่า Que Sera Sera สลับกับภาษาอังกฤษว่า Whatever will be will be ซึ่งให้ความหมายเดียวกัน และเสียงผู้ร้องเพลงนี้ฟังสดใสอ่อนหวานนัก
ผมรู้จักเพลงนี้ดี เพราะตอนเป็นเด็กอยู่โรงเรียนประจำได้ดูหนังทุกวันเสาร์ และเรื่องที่ไม่เคยลืมชื่อ The Man Who Knew Too Much (1956) โดยมีราชาหนังสยองขวัญของโลก อัลเฟรด ฮิชค๊อก (Alfred Hitchcock) เป็นผู้สร้าง นำแสดงโดย เจมส์ สจ๊วต (James Stewart) โดยมีดาราสาว ซึ่งใน พ.ศ. นั้นเธอยังหวานทั้งหน้าและเสียง โลกรู้จักเธอในนาม ดอริส เดย์ (Doris Day) เป็นนางเอกของเรื่อง และเป็นผู้ร้องเพลงนี้เอง
เพลง Que Sera Sera หรือ Whatever will be will be นี้ โดนใจทั้งผมและเพื่อนๆ เพราะหลังจากนั้นนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ที่ผมอยู่ ก็ร้องเพลงนี้เป็นแทบจะทั้งโรงเรียน
เดิมเพลงเอกในหนังเป็นภาษาสเปน ชื่อ Que Sera Sera แต่เป็นภาษาต่างด้าว เกรงว่าคนอเมริกันจะไม่คุ้น และเป็นเหตุให้เพลงจะไม่ติดหูคนฟัง เลยเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นคำแปลจากชื่อเดิมว่า Whatever will be will be
ผู้ที่ร้องเพลงนำคือ ดอริส เดย์ นางเอก ซึ่งในตอนนั้นเป็นนักร้องเพลงแจ๊สที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว ว่ากันว่า พอเธอได้ยินชื่อเพลงและเห็นเนื้อร้อง ถึงกับเบ้หน้า คงมีความรู้สึกคล้ายๆ กับ คุณรวงทอง ทองลั่นธม ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ร้องไห้ไม่ยอมร้องเพลง “ขวัญใจเจ้าทุย” ที่ขึ้นว่า “เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินเสียงใครมากู่ๆ เรียกหาเจ้าอยู่ๆ หนใดรีบมา” คุณรวงทองให้เหตุผลว่า “คนอะไรไปรักกับควาย...เพี้ยนหรือเปล่า เพลงอย่างนี้หนูไม่ร้อง!?” แต่ในที่สุดเธอก็ถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมร้องอัดแผ่นเสียง
ไม่น่าเชื่อว่าเพลงอย่างนี้แหละครับที่ทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ชื่อ “ทองก้อน” และเปลี่ยนใหม่เป็น “รวงทอง” ทำลายสถิติประเทศไทย เพราะเพลงออกมาโดนใจผู้คนทั้งบ้านทั้งเมือง ส่งยอดขายแผ่นเสียงสปีด 78 ของเพลง “ขวัญใจเจ้าทุย” ขายได้ถึง 5 หมื่นแผ่น และเป็นสถิติต่อเนื่องไปอีกหลายปี เพราะเพลงฮิตแสนฮิตในยุคนั้นได้แค่ 5 พันแผ่นก็เหลือกินแล้ว
ดอริส เดย์ ยอดนักร้องที่โด่งดังของคนอเมริกันยุคหลังสงคราม ก็มาตะเภาเดียวกับคุณรวงทอง พอเห็นชื่อเพลงซึ่งพอจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด” เธอถึงกับส่ายหน้าบอกว่า “เนื้อร้องบ้าบอคอแตกอะไรกันเนี่ย!?” แต่เพลงนี้กลับดังทะลุฟ้า ได้เข้าชิงออสการ์ด้วย และกลายเป็นเพลงประจำตัวของดอริสในรายการโทรทัศน์ของเธอเองไปในที่สุด
ท่านผู้อ่านอาจถามว่า เพลงไทยที่ให้ความหมายเดียวกันเช่นนี้มีหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าเพลงไทยสากลนั้นยังนึกไม่ออก แต่ถ้าเป็นลูกทุ่งแล้ว มีเพลงที่ให้ความหมายเดียวกัน และเพลงนี้ดังมากด้วย ลองฟังดูนะครับว่า
ไม่ต้องมีดนตรี ใช้ตีกะละมัง
ร้องเพลงดังๆ ให้หนวกหูบ้านใกล้
เขาร้อง สุขสันต์วันวิวาห์
ฉันไม่น้อยหน้านะคนหลายใจ
เอ๊ย...ช่างมันเถิด อะไรจะเกิด ก็ปล่อยมันไป
ฉันไม่ได้อิจฉาใคร แค่แปลกใจที่น้ำไหลออกตา
เพลงนี้สอนให้ฝ่ายหญิงรู้จัก “ทำใจ” เมื่ออกหักคนรักหนีไปแต่งงาน คุณหนู คัทลียา มารศรี ขับร้องเอาไว้นานแล้ว เธอเป็นลูกทุ่งหญิงที่ผมเห็นว่าเก่งมากๆ คนหนึ่งในวงการ ได้รางวัลนับไม่ถ้วน เช่น รางวัลพระพิฆเนศทองคำพระราชทาน ในฐานะนักร้องหญิงลูกทุ่งยอดเยี่ยม รางวัลการเวกทองคำ ประเภทลูกทุ่งหญิงขับร้องยอดเยี่ยมของกรมประชาสัมพันธ์ด้วย
เพลงนี้ชื่อ “อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด” ทำให้คัทลียาได้รับรางวัลมาลัยทองคำ เมื่อปี พ.ศ.2545 ฟังแล้วถูกใจผมนัก
ทำไมจึงกล่าวว่า “ถูกใจ”?
ความจริงแล้ววลีเพลงอย่าง “อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด” หรือ “อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด” นั้น คนที่เป็นผู้บังคับหน่วยกำลังอย่างหัวหน้าสถานีตำรวจ หรือผู้บังคับหน่วยรบ จะพูดจนติดปาก เพราะมักจะใช้เป็นวลีปลอบขวัญ และปลุกใจผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ให้หวั่นหวาดกับภยันตรายทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้นกับหน่วยและคนของตนเมื่อจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ ไม่ว่าเป็นการรบ หรือเข้าปะทะกับเสี้ยนหนามแผ่นดิน หรือโจรผู้ร้ายใจอำมหิตหน้าไหน เราก็จะไม่หวาดหวั่น
วลีที่เข้าใจง่ายๆ อย่างนี้แหละครับ ทำให้หน่วยรบสามารถก้าวสู้สมรภูมิ หรือประจันหน้าข้าศึกได้อย่างไม่พรั่นพรึง!
มาถึงวันนี้ สมรภูมิหลักก็อยู่ที่บ้านเรา โดยเฉพาะปัญหาทางภาคใต้ แต่บัดนี้สถานการณ์ก็เริ่มเย็นลง กองกำลังตำรวจ ทหาร พลเรือน ก็ร่วมมือร่วมใจคืนสันติสุขให้ภูมิภาคแห่งนี้ ซึ่งจุดหมายปลายทางของวันแห่งความสงบ...ก็ฉายแสงแห่งความหวัง ให้เห็นรำไร
แต่ปัญหาที่หนักหนาสาหัส กลับกลายเป็นอยู่ที่กรุงเทพฯ นี้เอง เมื่อผู้ฝ่าฝืนกฎหมายได้เข้ายึดสถานที่ราชการที่สำคัญ คือ ทำเนียบรัฐบาล มานานแรมเดือน เข้ารุมทึ้ง หยิบฉวยขโมยของหลวง เงินสด ของมีค่า รวมทั้งอาวุธไปเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กลับไม่กล้าทำอะไร!ไม่รู้ว่าฝรั่งมังค่ารู้กันหรือเปล่าว่า หน่วยราชการสำคัญที่ถูกยึดไปด้วยหน่วยหนึ่งคือ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ”
น่าอายขนาดหนัก...ก็ขนาดสภาความมั่นคงแห่งชาติยังโดนยึด ใครอย่าสะเออะมาให้คำมั่นกับผู้คนว่า จะดูแลความมั่นคงแห่งชาติเป็นอย่างดี เหม็นขี้ฟันเปล่าๆ!ผู้กระทำผิดกฎหมายยังกระทำอัปรีย์ ซึ่งสำหรับผมแล้วถือว่าเป็นการหลู่
พระเกียรติยศ ด้วยการปิดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินมายาวนาน จนแม้กระทั่งพระราชพิธีสำคัญที่ทางราชการและประชาชนร่วมใจน้อมกันจัด เพื่อถวายพระเกียรติยศแด่สมเด็จกรมหลวงฯ ซึ่งมีพระเมตตาต่อปวงชนชาวไทยมาตลอดไอ้คนพวกนี้มันก็ไม่ได้ไยดี!
ที่น่าสะเทือนใจที่สุดก็คือ เมื่อมีข่าวสารแพร่ออกมาถึงพสกนิกรผู้จงรักภักดีว่า...พล.ต.จำลอง อนุญาตให้กองทหารรักษาพระองค์ใช้พื้นที่ซ้อมพิธีสวนสนามได้ โดยระบุว่า ให้ทหารจัดกำลังทำการรื้อถอนเต็นท์ พธม. เอง และเมื่อพิธีซ้อมเสร็จแล้วให้ทหารทำการติดตั้งเต็นท์ และคืนทรัพย์สินของ พธม. ให้ครบถ้วน อย่าให้เสียหาย...
ทั้งนี้ พล.ต.จำลอง ระบุว่า จะอนุญาตให้ใช้พื้นที่เฉพาะวันอาทิตย์ตามที่ทหารร้องขอ จนกว่าจะถึงวันพระราชพิธีสวนสนาม... ไม่น่าเชื่อว่า...หน่วยทหารที่มีหน้าที่สำคัญยิ่งในการถวายความอารักขาต่อองค์พระมหากษัตริย์เจ้าชาวไทย กลับแสดงอาการศิโรราบต่อคำสั่งของผู้นำการกบฏเกียรติศักดิ์รักของข้าฯ มอบไว้แก่ตัว...นั้น...อยู่ที่ไหนกัน!
เมื่อเรื่องเกิดขึ้นอย่างนี้ ทำให้ผมคิดย้อนไปในอดีตว่า ทหารรักษาพระองค์นั้นเพิ่งปรากฏมีเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง แต่ท่านผู้อ่านเชื่อผมไหมครับว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันจะต้องเสด็จฯ นิราศจากเมืองไทยไปนั้น กลับไม่มีทหารรักษาพระองค์ติดตามไปส่งเสด็จที่สถานีรถไฟจิตรลดา ทั้งๆ ที่พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่น่าเชื่อว่า... แถวที่ไปส่งเสด็จนั้น มีเพียงแถวนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งชื่อเดิมคือ โรงเรียนมหาดเล็กหลวงกรุงเทพ
ม.จ.พิริยดิศ ดิศกุล ซึ่งยังเป็นนักเรียน และไปส่งเสด็จ ท่านได้เขียนบรรยายในหนังสือวชิราวุธานุสาส์น ถึงสายพระเนตรที่หม่นหมองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเสด็จฯ ตรวจแถวนักเรียน ก่อนจะขึ้นประทับรถไฟ ลูกวชิราวุธทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเล่าเหตุการณ์ได้สอดคล้องกันหมด
วันหน้าผมจะขออนุญาตธิดาของท่าน คือ ม.ร.ว.รมณียฉัตร แก้วกิริยา (คุณหญิงเป็นนักเรียนชั้นเดียวกันผม เรียนห้องเดียวกันที่โรงเรียนราชินีมาหลายปี) นำเอาข้อเขียนบางส่วนของท่านชายพิริยดิศมาลง รับรองว่าท่านผู้อ่านจะอึ้ง!
นี่เองที่พระราชพิธีสำคัญจึงมีนักเรียนของวชิราวุธวิทยาลัย ที่มีร่างกายกำยำแข็งแรง ได้รับโอกาสสำคัญของชีวิต เชิญพระราชศาสตราในริ้วขบวนพระบรมศพของสมเด็จกรมหลวงฯ ที่เพิ่งผ่านสายตาผู้คนไปไม่กี่วันนี้พวกเขาถูกปลูกฝังให้หนักแน่นในความจงรักภักดีมาตั้งแต่ยังเด็ก!จึงอยากจะตะโกนกู่ก้องไปถึงขุนทหารทั้งหลายว่า
บัดนี้ ฝ่ายตำรวจนั้นเขาได้ออกประกาศอย่างแข็งแรง และจิตใจมุ่งมั่นที่จะป้องกันรัฐสภา อันเป็นเขตพระราชฐานไว้ด้วยชีวิต
อะไรจะเกิด...ก็ให้มันเกิด!!!
ผู้เขียนขอให้คนไทย ทำใจ ให้เหมือนอย่างที่หนู คัทลียา มารศรี เธอร้องเอาไว้ ถ้าเรื่องร้ายจะเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมของบ้านเมืองเราคนไทยทุกคนต้องก้มหน้ารับร่วมกัน!
ทหารจะช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานของตำรวจหรือไม่อย่างไรนั้น ผมไม่แน่ใจ เพราะทุกวันนี้แม้แต่สถานีวิทยุของ บก.สูงสุด ที่เปลี่ยนเป็นกองบัญชาการกองทัพไทยนั้น ที่ดำเนินการโดย ไอ้.เอน.เอน. ที่ถูกสื่อด้วยกันกล่าวหาว่าเป็น “โคตรเต้าข่าว” การดำเนินรายการของพวกเขา ใครฟังก็รู้ว่า แสดงตนเป็นแนวร่วมสำคัญของพันธมาร โดยสื่อความเคลื่อนไหวของคนพวกนี้อย่างถี่ยิบ ทั้งโจมตีรัฐบาลต่อเนื่องยาวนาน
คนที่พอมีสติปัญญาก็ต้องคิดว่า เจ้าของสถานีที่เป็นทหารอยู่เบื้องหลัง จริงหรือไม่จริงล่ะ!?!
ก็ทำกันอย่างนี้ ทำให้ผมต้องเขียนถึงนายพลบุญสร้าง เจ้านายเก่าของหน่วยงานนี้ สมัยที่เขายังดำรงตำแหน่งอยู่ ซึ่งมักออกมาให้สัมภาษณ์สวนทางกับรัฐบาลเป็นประจำ โดยได้เขียนคอลัมน์ลงประชาทรรศน์สองวันติด ชื่อคอลัมน์ว่า
“บุญสร้าง อย่าเป็นบุญเสี้ยม! คนอ่านทั้งประชาทรรศน์และเว็บไซต์ต่างๆ วิพากษ์วิจารณ์กันตรึม...บุญเสี้ยมค่อยหายซ่าไปหน่อย!! อยากจะบอกว่า การที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นผู้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แล้วไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด จนต้องยกเลิกพระราชกำหนดนี้กันไปในที่สุด ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่คิดว่าทหารพอจะช่วยบ้านเมืองได้บ้าง ก็หมดความไว้วางใจในกองทัพไปเลย!
ยิ่งพอตำรวจรักษาสภาอันเป็นเขตพระราชฐานไม่ให้ถูกยึดครอง มีการบาดเจ็บล้มตายกัน ทหารยังออกมาพูดตำหนิปฏิบัติการของตำรวจ ทั้งยังออกโทรทัศน์พูดเชิงข่มขู่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเสียอีก...
ทหารเลยยิ่งตกต่ำในสายตาผู้คน โดนวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ ขนาดหนัก หรือทหารจะลืมไปว่าเมื่อเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” นั้น ทหารเดินแถวตึงๆๆ เข้าถนนราชดำเนินแบบไม่มีกลยุทธ์อะไรเลย...
...ผู้บังคับหน่วยสั่งบรรจุ แล้วยิงด้วยกระสุนจริงเปรี้ยงๆๆๆ เข้าให้ ผู้ชุมนุมลงไปด่าวดิ้นสิ้นชีพไป...จริงหรือเปล่าล่ะ!?!
มาถึง พ.ศ. นี้...หนอยแน่...ทำเป็นลืม ด่าคนโน้น ตำหนิคนนี้ ช่างไม่ดูตัวเองบ้างเลย!
วันนี้ ต้องขอพูดตรงๆ เพราะผมไม่รู้ว่าขุนทหารจะนำเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาถวายสัตย์ปฏิญาณในวันสำคัญที่ใกล้จะถึงนี้ได้อย่างเต็มความภาคภูมิใจหรือไม่ อย่างไรนั้น...ผมไม่ทราบ ทั้งนี้ เพราะผู้เขียนนั้นอดคิดไม่ได้ว่า
ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรวจพลสวนสนามอยู่นั้น ถ้าหากพระองค์ทรงทอดพระเนตรไปไม่ไกลนัก ก็จะทรงเห็นสะพานมัฆวานฯ และทำเนียบรัฐบาลซึ่งถูกยึดอยู่โดยกลุ่มกบฏ ทั้งๆ ที่มีหน่วยทหารสำคัญหลายหน่วยตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน
กองกำลังนอกกฎหมายได้เข้าควบคุมสถานที่ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารราชการแผ่นดิน และปล้นสะดมทำลายเอาจนย่อยยับ แถมยังวางก้ามสั่งห้ามผู้คนผ่าน
แม้หน่วยทหารรักษาพระองค์จะฝึกซ้อมสวนสนามในพระราชพิธีสำคัญ ยังต้องซมซานไปขออนุญาตพวกมัน...
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน...ประเทศนี้!?
ที่ทำร้ายจิตใจคนไทยมากที่สุดคือ
แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศนี้
ยังไม่อาจทรงใช้ได้เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินประจำได้!
ถึงตรงนี้ น้ำตากลบ เขียนต่อไม่ไหวแล้ว...อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด!!