WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, December 22, 2008

ระหว่าง “ไทบ้าน” กับ “ทาสไพร่”

ที่มา thaifreenews

บทความ โดย Bugbunny


ภาคประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้นบัดนี้ส่วนใหญ่มีความชัดเจนเกี่ยวกับศัตรูของระบอบประชาธิปไตยแล้วว่าคือใครและระบอบอะไรบ้าง ปัญหาก็คือพวกเขาจำนวนมากต่างก็พากันคลางแคลงใจว่าผู้นำทางสัญลักษณ์ของพวกเขาคือคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น มีความแจ่มชัดแล้วหรือยังว่า สงครามระหว่างประชาธิปไตยกับกลุ่มเผด็จการศักดินาอำมาตย์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันนั้น คือสงครามซึ่งศัตรูที่แท้จริงเป็นใครกันบ้าง เพราะฝ่ายตรงข้ามนั้นมีการวางแนวป้องกันและรุกรบเอาไว้มากมายหลายชั้น ส่งตัวแทนกองหน้าสารพัดออกมารบฉาบฉวยกับฝ่ายประชาธิปไตยตลอดเวลา ศัตรูของภาคประชาชนนั้นเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งและพื้นฐานที่วางไว้อย่างยาวนานมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 เสริมความเข้มแข็ง ความศรัทธา และการสร้างภาพทุกวิถีทางมาแล้วหลายสิบปี จนดูเหมือนกับว่าเป็นกำแพงอันมั่นคงเสียจนไม่อาจเจาะทะลุทะลวงได้เลย ภาคประชาชนจำนวนมากต่างพากันกังวลกันว่าจะสู้กันไหวหรือไม่ จะต่อสู้กันต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากการที่รัฐบาลมาร์กตั้งขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรัฐบาลด้วยกรรมวิธีฉ้อฉล การข่มขู่คุกคาม การติดสินบน ฯลฯ อย่างไร และไร้ยางอายเพียงไหน พวกเขาก็ดันทุรังตั้งมันขึ้นมาจนได้ เพราะคิดว่าการทำนายทายทักจากการนั่งทางในของคนบางคนยืนยันว่า รัฐบาลของนายมาร์คเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสามารถยึดกุมอำนาจที่สร้างสมกันมานานแสนนานต่อไปได้อีก



แต่ความเป็นจริงก็คือ ช่วงสามปีที่ผ่านมานั้น ภาคประชาชนจำนวนมากทั้งที่อยู่ในโลกไซเบอร์ มวลชนพื้นฐานที่ถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งหลาย ชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงที่ก้าวหน้าในประเทศไทยนั้น ฯลฯ ต่างพากันตาสว่างกันมากขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ด้วยการกระทำที่เปิดโปงตัวเองของกลุ่มผู้นำของพวกเขาที่วัยอันอ่อนล้า ความหลงทะนงตนว่าประสบการณ์ที่เคยทำมานั้นสร้างชัยชนะให้กับพวกเขามาตลอดก็จะต้องชนะต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด อยากจะบอกว่าสามปีที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงที่ภาคประชาชนเติบใหญ่ทางความคิดมากที่สุด เห็นแจ้งแจ่มชัดว่าใครเป็นใครและอะไรคืออะไร เป็นเวลาที่รวดเร็วเหลือเกิน หากเทียบกับหลายสิบปีที่พวกเขาช่วยกันสร้างความมั่นคงให้กับระบอบแล้ว ถ้าเราเป็นพวกเขา ก็จะต้องตกใจกันแทนที่จะมากระดี๊กระด๊ากับการตั้งรัฐบาลได้ของนายมาร์คในแบบขู่กรรโชกและซื้อตัวพวกทรยศต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างวันนี้



ตอนนี้ภาคประชาชนนั้นส่วนใหญ่แจ่มชัดแล้วว่า นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างระบอบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์กับระบอบเผด็จการศักดินาอำมาตย์ ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับ สนธิ ลิ้มทองกุล แต่ประการใด คนอย่าง นายสนธิ พลเอกอนุพงษ์ หรือนายอภิสิทธิ ฯลฯ นั้น เป็นเพียงนอมินีของกลุ่มคนที่ใหญ่กว่ามีอำนาจมากกว่าเท่านั้น อย่าไปให้ราคากับแนวหน้าพวกนี้นัก พวกเขาเป็นเบี้ย เม็ด ม้า โคน ฯลฯ ที่ถูกส่งดาหน้าออกมาสู้กับอีกฟากหนึ่ง และปล่อยให้ขุนนั่งบนภูดูสงครามจากมุมบนเท่านั้น และถ้าเมื่อใดที่ถูกฝ่ายตรงข้ามกินจนต้องยกออกนอกกระดาน คนพวกนี้ก็จะถูกเอาไปกองระเนนระนาดอยู่ข้างกระดาน ส่งนักสู้ตัวอื่นออกมาสู้ต่อไป ตราบใดที่ยังไม่โดนรุกฆาตกินขุนจนจนกลางกระดานนั่นแหละ



สิ่งที่เราหวังกันก็คือ คุณทักษิณ ชินวัตร น่าจะเคลียร์คัทได้แล้วว่า ความยืนยงคงทนของตัวคุณทักษิณเองในวันนี้ ที่แม้แต่ป้ายหาเสียงผู้ว่า กทม.ของพรรคมาร์กแถวสนามเป้าก็ยังมีสีสเปรย์ฉีดพ่นอยู่บนป้ายว่า “เรารักทักษิณ” อย่างเปิดเผยนั้น เป็นเพราะคุณทักษิณกล้าทำสิ่งที่สำคัญมากในวิถีทางประชาชนนั่นคือการเอาโภคทรัพย์และชีวิตที่ดีกว่ามามอบให้แก่คนส่วนใหญ่ โดยไม่ได้เกรงใจว่าจะกระทบผลประโยชน์ของกลุ่มอภิสิทธิชนทั้งหลายที่เคยถือประชาชนเป็นทาสและบ่าวไพร่มาแสนนาน ในช่วงเวลาหลายปีที่คุณทักษิณอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะคนทำงานและมองโลกแบบคนรักงาน คุณทักษิณเคยหวังว่า ผลงานจะเป็นการพิสูจน์คุณค่าของคน และผู้อื่นคงจะตัดสินคุณค่าคนแบบเดียวกับคุณทักษิณ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะคำพังเพยบทหนึ่งนั้นยังคงตรงกับสถานการณ์ของคุณทักษิณและทีมงานที่ว่า “จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน” นั้นยังแสดงความแจ่มชัดของมันอยู่ คำพังเพยบทนี้ไม่ได้เป็นหลักการที่ถูกต้องอะไรเลย แต่มันคือสภาพที่เป็นอยู่ในสังคมที่ไม่ได้วัดคนกันที่ความสามารถและผลงานมากเท่าการประจบสอพลอ สภาพแบบนี้เป็นมาตั้งแต่สมัยกรุงเก่านับตั้งแต่ประเทศนี้เริ่มรับแนวความคิดด้านการปกครองอย่างสมมติเทพจากขอมมาแทนที่การปกครองแบบพ่อเมืองกับไทบ้านที่เคยมีมาแต่โบราณของสังคมชุมชนในพื้นที่แถบนี้ ซึ่งความเป็นที่รักใคร่จากไทบ้านที่พ่อเมืองจะได้รับนั้น ต้องมาจากฉันทามติของไทบ้านไม่ใช่บังคับด้วยอำนาจและกดขี่บีบบังคับด้วยพลังจากผู้ถืออาวุธ



ความแตกต่างระหว่าง “ไทบ้าน” กับ “ทาสไพร่” คืออิสระและเสรีภาพที่จะคิดและมองถูกมองผิด ไทบ้านจำนวนมากหากไม่พอใจการปกครองก็อาจเรียกร้องเพื่อสิ่งที่พวกตนพอใจได้ แต่ทาสไพร่นั้นมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำตามกฎระเบียบประเพณีที่ชนชั้นปกครองเป็นผู้กำหนดขึ้นแม้จะต้องกล้ำกลืนฝืนทน เพราะมีอำนาจและกฎเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งขึ้นเองค้ำคออยู่ ความหมายของคำว่าไทบ้านกับทาสไพร่ก็แสดงถึงมาตรฐานมนุษย์ที่แตกต่างกันของสองวิธีคิดนี้อย่างชัดเจน



ฟังมาว่าคุณทักษิณนั้นชัดเจนแล้วว่าจะเป็น “ไทบ้าน” มิใช่ “ทาสไพร่” ก็หวังว่าจะได้เห็นการแสดงออกเช่นนั้นให้ประชาชนได้รับรู้ เพราะประชาชนจำนวนมากเดินไปไกลแล้วและตัดสินใจแล้วว่าการเป็นไทบ้านนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับโลกยุคโลกาภิวัฒน์