ที่มา ไทยรัฐ
ผมไปญี่ปุ่นเป็นรอบที่ 2 แล้วครับ 5 วันแรกในรอบแรก ผมก็ได้แต่อิจฉา ญี่ปุ่นพัฒนาไปไกล ทั้งจิตใจผู้คน ที่มีผลไป ถึงความสงบสุขของบ้านเมือง
ถึงวันที่ 6 ผมก็เริ่มเห็นร่องรอยลางๆ ในม่านเงาของความเรียบร้อยนั้น มีม่านเงาของความเครียดของผู้คน ปะปนทับซ้อนอยู่ด้วย
ผู้บริหารหนุ่มจากไทย ลงทุนขอไปนอนบ้านเพื่อน แล้วก็พบว่า พ่อแม่ลูก แบ่งพื้นที่อยู่กันอย่างเคารพในสิทธิของกันและกัน ทั้งบ้านมีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ของความเหงาและความเงียบ
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ก่อนไปทำงาน โค้งหัว คำนับสวัสดีกันคำเดียว...
แล้วก็เท่านั้นจริงๆ
ผมแตกหน่อต่อยอดความคิดเอาเอง เพราะบรรยากาศในบ้าน เป็นเช่นนั้น คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย จึงเตร็ดเตร่อยู่ริมถนน จะกลับบ้าน ก็โน่น! เวลารถไฟใต้ดินเที่ยวสุดท้าย
บ้านเมืองที่ล้ำหน้าด้านวัฒนธรรมการดำรงชีวิต แต่อีกด้านก็สะสมความเก็บกดทางอารมณ์ตามธรรมชาติมนุษย์เอาไว้
นักบริหารหนุ่มให้ข้อมูลต่อ ริมถนนในเมืองใหญ่ๆ จะมีซอก เล็กๆให้ชายหนุ่มสวมสูทหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ ลงไปใช้บริการ ดูหนังโป๊ ช่วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็หิ้วกระเป๋าขึ้นไปทำงานต่อ
ส่วนบริการขว้างจานใส่ผนัง ระบายความเครียดนั้น ผมเคยเห็นแต่โฆษณาในเมืองไทย เพิ่งดูข่าวทีวี ว่ามีของจริง อยู่ในญี่ปุ่นมานานเต็มที
คนญี่ปุ่นเครียดอย่างนี้แหละครับ จึงมีข่าวฆ่าตัวตายบ่อยๆ ที่หน้าผาโทชินโป ผมฟังจากคุณกาละแมร์ ทางทีวีช่อง 3 ไม่รู้ว่าหน้าผานี้อยู่เมืองไหน
ได้ยินแต่ตอนมีคนฆ่าตัวตายมากมาย จนกลายเป็นจุดขายการท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวสมัยนี้ก็บ้าจี้ เขาชวนให้ไปก็ไป ไปแล้วก็เจอของที่ระลึก เสื้อยืด เขียนคำย้ำประเด็นให้อยากฆ่าตัวตาย วางขายอยู่เกลื่อน
คนหนุ่มชื่อนายซีเงะ ทนไม่ได้ ตั้งกลุ่มสกัดคนฆ่าตัวตาย ช่วยมาได้หลายสิบคน แต่ที่ตายเพราะช่วยไม่ได้ ก็ยังมีหลายคน
นายซีเงะคุยว่า การฆ่าตัวตายนั้นเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ ถ้ามีคนแนะนำให้รู้จักทำใจ ปล่อยวาง เขาก็เปลี่ยนใจไปสู้ชีวิตต่อ
วันนี้ นายซีเงะจึงไปตั้งร้านกาแฟอยู่ริมหน้าผา สกัดกั้นตรงจุดที่คนจะกระโดดหน้าผา เข้าใจกันว่า ทำเลร้านกาแฟนี้ คงช่วยให้คนเลิกฆ่าตัวตายได้มากขึ้น
ประมวลข่าวญี่ปุ่นแล้ว ที่เคยเสียใจว่า อยู่ในเมืองไทยที่ไม่ค่อยพัฒนา ก็รู้ว่าดีขึ้นมาก อย่างน้อยการอยู่อย่างไทย ก็ให้รสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็มไปอีกแบบ
ถ้าเราจริงจังอย่างคนญี่ปุ่น เราก็คงไม่ยอมให้ผู้ร้ายที่ยึดสนามบิน มาเป็นรัฐมนตรี เป็นเลขาฯรัฐมนตรี เพราะเรารู้ว่าต่างชาติเขามีนิสัยกลัวผู้ก่อการร้าย จะไม่เอาด้วย
แต่การอยู่อย่างไทย คิดอย่างไทย เราก็อาจคิดใหม่ ได้ผู้ก่อการร้ายมาเป็นใหญ่ ประสบการณ์ผู้ก่อการร้าย อาจจะช่วยป้องกันไม่ให้ยึดทำเนียบฯ ยึดสนามบิน ได้ง่ายๆเหมือนที่ยึดกันไปครั้งก่อน
การชุมนุมใหญ่ตอนนั้น ตำรวจทหารก็ดูจะไม่ประสีประสา แต่ถ้าชุมนุมตอนนี้ ตำรวจทหารแม้จะชุดเดียวกัน แต่ก็ฉลาดรู้ทัน คงไม่ยอมให้ใครมายึดอะไรไปอีก
คิดได้อย่างนี้ก็สบายใจ ความเครียดก็ผ่อนคลาย โอกาสฆ่าตัวตายเหมือนคนญี่ปุ่นก็น้อยลง.
กิเลน ประลองเชิง