ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย *อัฐศิริ*
การประลองกำลังทางการเมือง ผ่านการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผ่านไปแล้ว ใครแพ้ใครชนะเป็นที่รู้กันแล้ว ก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของประชาชนครับ
จากที่เคยตั้งป้อมห้ำหั่นแบ่งข้างแบ่งค่ายกัน ก็ต้องยอมรับความจริง และต้องอยู่กับความจริง เคารพในความคิดเห็นและความต้องการของพี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ
ยอมรับว่านี่คือ การเมืองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน
ย้อนกลับไปดูผลวิจัยเชิงสำรวจของ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรต่อสภาวะความเสี่ยงของประเทศไทยในช่วงปี 2552 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 18 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู ขอนแก่น สกลนคร เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี ระนอง และ พัทลุง จำนวนทั้งสิ้น 2,443 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3 – 10 มกราคม 2552 พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 81.8 ยังคงรู้สึกเบื่อหน่ายต่อความขัดแย้งทางการเมือง ร้อยละ 75.8 เชื่อว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 70.2 เครียดเรื่องการเมือง อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 71.3 ยังคงมีความหวังว่าประเทศชาติจะสงบสุข และ ร้อยละ 95.8 อยากให้คนไทยรักกัน
สอดคล้องกับเอแบคโพล ที่มีคนเบื่อการเมืองถึง ร้อยละ 81.5
ซึ่งก็น่าจะตรงกับความคิดเห็นของคนไทยทั้งประเทศในตอนนี้ ที่อยากเห็นฝ่ายที่มีหน้าที่มาแก้ปัญหาความเดือดร้อนในตอนนี้ ได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน และทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าให้ได้
และอีกความจริงหนึ่งของคนในชาติวันนี้ ที่ต้องยอมรับกันคือ ปัญหาเรื่องปากท้อง การทำมาหากิน จะทำอย่างไรให้คนได้มีกินมีใช้ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ โดยไม่สร้างปัญหา สร้างภาระให้กับคนอื่น
มาตรการความช่วยเหลือที่รัฐบาลออกมานั้น ต้องเร่งลงมือทำ และต้องทำให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะคนรากหญ้า คนที่ด้อยโอกาสในชนบท ที่มีคนหนุ่มสาวที่มาหางานทำในเมือง เจอปัญหาตกงาน ต้องเดินทางกลับบ้านไปเป็นจำนวนมาก
หมดเวลาที่เราจะมาทะเลาะกันแล้ว ใครทำผิดก็ต้องได้รับการชดใช้กรรม ถูกลงโทษ ด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเสมอภาคกัน
การยึดสนามบินสร้างความเสียหายเกือบ 3 แสนล้านบาท เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ มีคนถูกลงโทษ เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจ เหิมเกริม โดยเร็ว เพื่อเรียกคืนความเชื่อถือศรัทธาในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะเรื่องนี้เป็นความเสียหายอย่างย่อยยับของประเทศ ชื่อเสียงเกียติภูมิของประเทศถูกเหยียบย่ำจมธรณี
การบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ทำลายทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย 18 ล้าน นี่ก็ต้องหาคนมารับผิดให้ได้
ที่น่าสนใจคือ แกนนำของ กลุ่มพันธมาร เป็น ส.ส.ในสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยืนหยัดยืนยันว่าจะร่วมหัวจมท้ายกับ ม็อบโกเต๊กซ์ ต่อไป ผมคิดว่าตรงนี้คงสร้างความกระอักกระอ่วนใจให้พรรคประชาธิปัตย์พอสมควร จากการจับตามองต้องตกเป็นเป้าใหญ่ในการบริหารประเทศ
อันจะมีผลในเชิงเปรียบเทียบได้เป็นอย่างดี
อีก 6 เดือนจากนี้ไป ไม่รู้จะเห็นหน้าเห็นหลังหรือเปล่า แต่ผู้สันทัดกรณีให้ความเห็นว่า เรื่องนี้ต้องทำใจ อีกนานครับกว่าเรื้องนี้จะจบลงได้ เริ่มที่พนักงานสืบสวนสอบสวนต้องใช้เวลาอีกเท่าไร เสร็จแล้วส่งไปให้อัยการฟ้องคดีก็ยังไม่รู้ว่า อัยการจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน และเมื่อไปถึงศาลแล้วกระบวนการขั้นตอนของศาลจะตัดสินว่าอย่างไร
ผมว่าแม้จะอีกยาวนาน แต่ก็ต้องมีความคืบหน้าออกมาเป็นระยะๆ ให้ประชาชนอุ่นใจว่า เรื่องนี้ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้มีการดองคดีเอาไว้ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ทอดเวลานานไปไม่ดีแน่
ต้องมาดูว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ที่มีความใกล้ชิดกับกลุ่ม ”พันธมาร” จะทำเรื่องนี้ออกมาอย่างไร
อย่าให้ต้องเจ็บข้างซ้ายแล้วย้ายมาปวดข้างขวาเด็ดขาด
เพราะนั่นจะเป็นการชี้ชะตารัฐบาล และเป็นคำตอบว่า ต้องการรัฐบาลเพื่อใครเพื่ออะไร
วันนี้เราจะต้องมาคิดกันแล้วว่า จะทำอย่างไรให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าให้ได้ ต้องฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจไปให้ได้ สร้างความเชื่อถือบนเวทีโลกให้ได้
เพราะคนไทยมีต้นทุนที่จะฟื้นฟูให้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ได้กลับคืนมาสู่ภาวะปกติเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ผมเชื่อมั่นอย่างนั้น
เพราะในทางภูมิศาสตร์เราค่อนข้างได้เปรียบ ทั้งในเรื่องของสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาเป็นอย่างยิ่ง
เมืองไทยเป็นเมืองเกษตร ที่สามารถต่อยอดสินค้าเกษตรเป็นอุตสาหกรรมการส่งออกได้
สำคัญว่าต้องมีสติ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจทุกวันนี้ มันถาโถมมาจากต่างประเทศ เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนกันไปทั่วโลก ผนวกกับสถานการณ์ภายในประเทศของเราเอง
มีวัฒนธรรม มีแหล่งท่องเที่ยว ที่ไม่ได้เป็นสองรองใคร ซึ่งจะนำเม็ดเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล แต่สถานการณ์ภายในประเทศต้องรู้เห็นเป็นใจด้วย
เพราะคงไม่มีใครอยากไปเที่ยวไปพักผ่อน บนความ ความรุนแรงในประเทศที่จะไปแน่ และต้องอย่าประเทศอื่นเขาก็ใช้โอกาสนี้ ช่วงชิงนักท่องเที่ยวไปจากประเทศไทยเหมือนกัน เพราะนั่นหมายถึงเม็ดเงินที่จะเข้าประเทศของเขา และได้รับการยอมรับของนานาประเทศ
แต่ถ้าคิดในทางที่ดี คิดในทางกลับกัน ก็จะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะ ”กู้ชาติ”
ผมขออนุญาตใช้คำนี้ เพราะการกู้ชาติจะต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายที่เป็นคนไทย ยอมรับครับว่า สถานการณ์วันนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ต้องทำให้ได้
ถ้ายังมีความไม่เข้าใจกัน ยังกีดกัน ขัดขวาง ทำลายล้างกันอยู่ บ้านเมืองจะถดถอยไปมากกว่านี้
เราเคยมีปัญหาอย่างนี้มาแล้ว และเราก็ผ่านพ้นมาได้ ตอนนั้นเป็นเพราะเราช่วยกัน ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ดูแลเอาใจใส่กัน เราเคยทำความฝันให้เป็นความจริงมาแล้ว
อย่างที่บอกแล้วว่า จะดีจะเลวอย่างไร ในน้ำมีปลาในนามีข้าว มีเรือกสวนไร่นา มีแผงเพื่อการค้าขาย เราเคยมี โครงการแปลงทรัพย์สินเป็นทุน และได้ทำสำเร็จมาแล้ว ทำให้คนมีงานทำ มีรายได้ ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน ไม่ต้องไปตีชิงวิ่งราวไปสร้างปัญหาให้กับสังคม
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 มีการนำร่อง 8 จังหวัดที่จะทดลองได้แก่ แพร่ สุโขทัย ราชบุรี ระยอง มหาสารคาม สกลนคร ชุมพร และ นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ สปก. รวมทั้งประเทศ 184,329 ไร่ มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ 12,600 ราย และที่สำคัญคือมีความพร้อม ที่จะเข้าสู่กระบวนการแปลงทรัพย์สินเป็นทุน
ทรัพย์สินแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ ประเภทที่ดิน สิทธิการเช่า ที่สาธารณะ สังหาริมทรัพย์ และ ทรัพย์สินทางปัญญา
วันนี้ต้องให้คนในชาติ กินอิ่มนอนหลับ ลืมตาอ้าปาก ให้มองเห็นอนาคตให้ได้เสียก่อน ต้องให้กำลังใจกัน ต้องช่วยเหลือเอื้ออาทรกันก่อน จากนั้นจะมาห้ำหั่นฟาดฟันกันอย่างไรก็เชิญ เพราะเชื่อว่าทุกฝ่ายก็จะอ้างเหตุผลมาสนับสนุนด้วยกันทั้งนั้น ส่วนจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนก็ต้องฟังกันดู
จะจริงใจ หรือ มีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังเบื้องลึก ก็ดูกันไป
แต่ความลับไม่มีในโลกนะครับ ยิ่งมีการรับรู้ รู้เห็นกันหลายคน โอกาสที่ความจะแตกก็ยิ่งมากขึ้นและเร็วขึ้น
เพราะถ้าเกิดการคัดง้างทางความคิด หรือผลประโยชน์ขัดกันในภายหลัง เมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นครับ
วันเด็กผ่านไปหยกๆ เราได้เห็นพัฒนาการของเด็กไทยในวันนี้ มีความรอบรู้ มีความคิดความอ่านที่ดีขึ้นและมากขึ้น คนเหล่านี้จะมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป ทำอย่างไรเราถึงจะทำให้เด็กๆ เหล่านี้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่า มองการขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ รู้จักคิด รู้จักแยกแยะ
ห่วงแต่ว่า ถ้าผู้ใหญ่ในวันนี้ ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดี ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง โดยไม่ฟังเหตุฟังผลกัน ก็ควรจะอายเด็กๆ กันบ้าง ขอให้ห่วงอนาคตของชาติกันบ้าง
โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่สนิทแนบแน่นกับเผด็จการ ต้องหยุดเติมเชื้อใส่ไฟ สร้างปมปัญหาขึ้นมาใหม่ เพื่อตอกย้ำสร้างความแตกแยก เพื่อเอาดีใส่ตัว โยนความชั่วให้คนอื่น ทั้งๆ ที่มีเรื่องพัวพันกับความไม่ชอบมาพากลติดตัวอยู่
แสดงให้เห็นถึงกลไกของเผด็จการ ที่ยังทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในขณะที่บ้านเมืองต้องถอยหลังไปมาก