ที่มา ไทยรัฐ
แม้รัฐบาลจะได้เสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นจาก 3 พรรคที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.อีก 20 คน ประชาธิปัตย์ได้ฟรีๆ 7 เก้าอี้ ชาติไทยพัฒนาได้มาอีก 10 เก้าอี้ และเพื่อแผ่นดินได้ 3 เก้าอี้ ย่อมทำให้เสถียรภาพดีขึ้น บริหารประเทศสะดวกขึ้น
แต่ปัญหาการเมืองที่ยังเป็นเรื่องใหญ่โดยเฉพาะเรื่องแบ่งสีแบ่งค่ายที่ยังไม่สามารถเข้าถึงปัญหานี้ได้ แม้รัฐบาลจะมีแนวคิดต้องการเจรจาต้องการสมานฉันท์แต่ดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะดูเหมือนว่า “จุดยืน” ยังอยู่คนละขั้ว
ซึ่งนายกฯได้แย้มๆว่า จะใช้กลไกพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหานี้ด้วยการตั้งคณะทำงานชุดนี้ เพื่อดำเนินการที่มุ่งเน้นไปในการใช้ความยุติธรรมเข้าไปจับและเป็นตัวขับเคลื่อน แต่ยังไม่มีรายละเอียดว่าโครงสร้างจะเป็นอย่างไร มีเป้าหมายอย่างไร มีอำนาจและบทบาทมากน้อยแค่ไหน
แน่นอนว่ากลุ่มเสื้อแดงนั้นมีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย อย่างแยกไม่ออก การขับเคลื่อนการเมืองจึงสอดรับกันตลอด
แต่ในสถานการณ์ที่เป็นจริงนั้น ทั้ง 2 ส่วนดูเหมือนศักยภาพจะลดลงไปตามสภาพการเมือง พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่มีอำนาจ เกิดปัญหาภายใน ไร้ผู้นำ ล่าสุดพยายามจะหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ก็ไม่มีใครกล้ารับ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขอแค่เป็นประธาน ส.ส. ไม่เอาหัวหน้าพรรค ไม่เอาผู้นำฝ่ายค้าน ทั้งๆที่เป็นตำแหน่งสำคัญ คำตอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะขืนรับไว้ก็ต้องแบกภาระสูง หากมีปัญหายุบพรรคก็จะถูกเว้นวรรคหมดอนาคต
ข้อสำคัญก็คือเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ คนเยอะ หลายกลุ่มหลายมุ้ง และมีเจตนาตรงกันคือสนับสนุนอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่ใช่ “นอมินี” อย่างคนชื่อ “เหลิม” ดังนั้น การบริหารจัดการจึงยาก
“เงินทุน” คือตัวหลักซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีใครควักบ้าง เพราะสถานการณ์เปลี่ยนทุนอาจเปลี่ยนได้...ใครเป็นหัวหน้าพรรคก็ลำบากใจ ดูนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน หน้าตาไม่ค่อยจะเสบย อยากจะลาออกก็ไม่มีใครยอมรับไม้ต่อ
จริงๆ แล้ว พรรคเพื่อไทยนั้นยังเป็นพรรคใหญ่ มีบุคลากรมาก หากสามารถจัดการปัญหาต่างๆ ให้เข้ารูปเข้ารอยก็ยังมีอนาคตอยู่
เพียงแต่ว่าจะมีกะจิตกะใจทำกันหรือไม่ และการทำพรรคต่อไปก็ต้องไม่ไปผูกกับ “ทักษิณ” กลุ่มเสื้อแดงอย่างที่ผ่านมา
เช่นกัน กลุ่มเสื้อแดงได้แสดงเจตนารมณ์ล่าสุดทำนองว่าต่อไปจะไม่ยึดติดกับพรรคเพื่อไทยและ “ทักษิณ” แต่จะเดินหน้าต่อต้านรัฐบาลต่อไปด้วยแนวทางของกลุ่มไม่ให้นักการเมืองมาชี้นำ
ถึงบอกไงครับ...สถานการณ์หนึ่งย่อมแตกต่างจากสถานการณ์หนึ่ง ที่สุดแล้วการเมืองก็คือการเมืองที่อดีตนายกฯ ทักษิณย่อมรู้ซึ้งที่สุด เจ็บที่สุด เปลืองตัวเปลืองทรัพย์ที่สุด
เพราะถูก “ปลิงการเมือง” มันสูบจนตัวลีบไปแล้ว
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าจากนี้ไป พ.ต.ท.ทักษิณจะตัดสินใจอย่างไร จะเดินหน้าหรือหยุดดูเพื่อทบทวนการต่อสู้ที่ผ่านมา เพราะขืนดันไปอย่างนี้ก็เหมือนวิ่งเอาหัวชนกำแพง
การที่รัฐบาลจะคลี่คลายความขัดแย้งจึงต้องใช้เวลา ใช้สถานการณ์ และเงื่อนไขให้เป็นประโยชน์ วันนี้มีเสียงสนับสนุนเต็มพิกัดทำให้มีเสถียรภาพมากขึ้น จากนี้ไปจึงต้องทำงานลูกเดียว ผลงานออกมาเร็วและได้ผลจะทำให้ความเชื่อมั่นมากขึ้น ประชาชนให้การสนับสนุนมากขึ้น
นั่นจะยิ่งทำให้ได้รับความชอบธรรมที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศในทุกด้านๆ โดยเฉพาะปัญหาความแตกแยกแบ่งสีแบ่งค่ายที่มีพลังประชาชนร่วมผลักดัน ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ไม่ว่าสีอะไรก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจ
สำคัญว่าจะอดทน อดกลั้น จริงใจ ไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ ได้หรือไม่.
“สายล่อฟ้า”