ที่มา thaifreenews
บทความ โดย ปูนนก
ปี พ.ศ. 2308 กองทัพพม่ายกทัพใหญ่มาโจมตีไทยโดยแบ่งทัพออกเป็น 2 สายคือ ทางเหนือโดยแม่ทัพเนเมียวสีหบดี และทางตะวันตกและใต้โดยมังมหานรธา กองทัพอันยิ่งใหญ่ของพม่าในเวลานั้นเข้ามาโจมตีไทยท่ามกลางความแตกแยกของคนในชาติ และความอ่อนแอของการบริหารประเทศโดยผู้ปกครองในเวลานั้น กองทัพของเนเมียวสีหบดีบุกยึดเมืองต่าง ๆ รายทางจากภาคเหนือมาตลอดจนกระทั่งถึง เขตแดนบ้านบางระจัน จ. สิงหบุรี ก็ได้พบกับการต่อต้านของชาวบ้านกลุ่่มหนึ่งที่รวมตัวกันต่อสู้กับพม่าข้าศึกอย่างไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ซึ่งต่อมาได้เรียกชื่อตามหมู่บ้านว่า “ชาวบ้านบางระจัน”
แม้จะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ........
แม้จะมีเพียงจำนวนน้อยกว่าอย่างเทียบไม่ได้..........
แม้จะมีอาวุธที่ด้อยประสิทธิภาพกว่า.........
แม้ไม่มีผุ้ใดให้การสนับสนุน..........
แต่ชาวบ้านบางระจันผู้เป็นชาวบ้านธรรมดาก็มิได้ย่นระย่อ ต่อกองทัพอันยิ่งใหญ่น่าสะพึงกลัวของพม่าข้าศึก พวกเขากลับจับอาวุธเท่าที่พึงมี และพึงหาได้เข้าโรมรันต่อสู้กับกองทัพอันยิ่งใหญ่ของศัตรู..... ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและศรัทธาในความรักการเป็นอิสระของตนเอง ไม่ยอมตกเป็นข้าให้พม่าข้าศึกเข้ามากดขี่...... ยอมตายเสียดีกว่าที่จะอยู่อย่างเป็นข้าเขา
ชาวบางระจันรบกับกองทัพพม่า และได้ัขัยชนะมาถึง 7 ครั้ง จนเป็นที่ครัึ่นคร้าม และในที่สุดเนเมียวสีหบดีต้องให้แม่ทัพใหญ่ชาวมอญคือ “สุกี้พระนายกอง” ยกทัพใหญ่ตั้งค่ายประชิดพร้อมด้วยปืนใหญ่เข้ามาเพื่อโจมตีทำลายค่ายบางระจันให้สิ้นทราก.......
ในขณะที่บางระจันไม่มีปืนใหญ่ต่อสู้กับพม่าที่ยิงกระหน่ำเข้ามา....
ในขณะที่บางระจันได้สูญเสียผู้นำและไพร่พลไปทุก ๆ วันจากการต่อสู้....
ในขณะที่บางระจันถูกกองทัพอันยิ่งใหญ่นับแสนของพม่าข้าศึกรายล้อมเข้ามาทุกทิศทาง...
ในขณะที่บางระจันไม่มีกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาหรือจากที่ใด ๆ เข้ามาช่วยเหลือ.......
แต่พวกเขาก็มิได้ทิ้งอาวุธยอมแพ้.....พวกเขามิได้ถอยหนีเพื่อรักษาชีวิตรอด.....พวกเขากลับปลุกปลอบใจซึ่งกันและกัน....พวกเขาสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กันและกัน....พวกเขากอดเกี่ยวกันเป็นใจเดียวกันยืนหยัดสู้ต่อข้าศึกศัตรู
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้......
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสู้แล้วต้องตาย.......
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสู้แล้วก็จะต้องสูญเสียทุกอย่าง.......
และเมื่อการรบครั้งสุดท้ายมาถึงชาวบ้านบางระจันกำลังยืนมองพม่าข้าศึกนับแสนที่ดาหน้ากันเข้ามาพร้อมช้าง, ม้า, และปืนใหญ่ โดยที่พวกเขายืนประจันอยู่หน้าค่ายและมีเพียงดาบ, หอก, ธนู และไพร่พลจำนวนน้อยนิด...... แต่ชาวบางระจันทุกคนก็มิได้มีความหวาดหวั่นต่ออำนาจมหึมานั้น.... จะมีก็แต่เพียงไฟแค้นที่สุมทรวง และอัดแน่นอยู่ในอกที่ระเบิดออกมาเป็นแรงหาญกล้าที่จะเข้าต่อกรกับศัตรูจนตัวตายเท่านั้น........
ชาวบ้านบางระจันผู้มิได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นแต่เพียงชาวบ้านธรรมดากลับหาญกล้า... ที่จะต่อกรกับอำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างเทียบกันไม่ได้ของพม่าข้าศึกอย่างทระนง และสมศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย....... แม้จะต้องตายหมดทั้งค่ายก็ตาม.......
ชาวบางระจันเป็นคนโง่ใช่หรือเปล่า ? ที่ยอมตายอย่างไร้ประโยชน์เช่นนั้น........
ชาวบางระจันเป็นคนบ้าใช่หรือเปล่า ? เพราะในที่สุดก็ป้องกันกรุงศรีฯ ไม่ได้อยู่ดี......
ชาวบางระจันถูกผู้นำหลอกลวงใช่หรือเปล่า ? เพราะเอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร้ค่าเช่นนั้น......
ชาวบางระจันถูกล้างสมองใช่หรือเปล่า ? เพราะพวกเขารักษาแผ่นดินเอาไว้ใ้ห้กับคนอื่น....
ไม่ว่าจะมีคำถามอย่างไร...คำตอบก็คือชาวบางระจัน “รักและหวงแหน” ความมีอิสระ และเสรีภาพที่จะไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข่มเหงเอาไปได้ พวกเขา “รักและหวงแหน” อิสระนี้ยิ่งชีวิต แม้ตัวของพวกเขาจะตายไปแล้วกว่า 200 ปี แต่ชื่อและวีรกรรมของพวกเขา ก็ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของคนไทย และตราบเท่าที่จะมีประเทศไทยอยู่ วีรกรรมนี้ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป.......
และด้่วยวีรกรรมนี้ได้จุดประกายให้กับคนไทยผู้รักชาติและรักความเป็นอิสระ ได้ลุกขึ้นต่อสู้ขับไล่พม่าข้าศึกออกไปจนพ้นประเทศไทย ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 6 เดือนหลัีงจากเสียกรุงฯ.....................
วันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมาการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะ.....ผลการเลือกตั้งซ่อม สส. จำนวน 29 คนเพื่อทดแทนคนที่ขาดหายไปซึ่งสรุปออกมาว่าพรรคประชาฺธิปัตย์และพรรคร่วมได้รับคะแนนเสียงเพิ่มไปในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเพียงพอในการเป็นเสียข้างมาก........ ชนิดที่เรียกว่า “ช๊อคความรู้สึกของผู้รักประชาธิปไตย” ทั้งมวล ผลก็คือ........
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยหลายคนถอดใจยอมแพ้......
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยหลายคนหลบมุมบอกไม่เอาแล้วสู้ไปก็ไม่ชนะ........
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยหลายคนยุติบทบาทบอกว่าไม่ใช่วัีนของเรา.....
พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยหลายคนเปลี่ยนข้างดีกว่าอย่าไปหวังอะไรกับประเทศนี้......
ฯลฯ
พี่น้องชาวประชาธิปไตยทุกท่านครับ....ชาวบางระจันทั้งชายทั้งหญิงไม่เคยวางดาบยอมแพ้
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ไ่ด้.....
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสู้ไปก็ตาย.....
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสู้ไปก็มีแต่สูญเสีย.....
แต่พวกเขาก็ยังคงสู้เท่าที่พวกเขาสู้ได้.....
พวกเขาสู้ด้วยกำลังใจ และจิตวิญญาณแห่งนักรบแห่งกรุงศรีฯ ........
พวกเขาสู้ด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น......
พวกเขาสู้ที่นี่........พวกเขาสู้ตรงนี้......พวกเขาสู้จนคนสุดท้าย........
แต่พวกเขา.....ไม่....ยอม....แพ้........
พี่น้องชาวประชาธิปไตยทุกท่านที่เข้ามาอ่านพบบทความนี้ พวกท่านคือนักรบไซเบอร์ที่หาญกล้า.......พวกท่านคือชาวบางระจันในโลกไซเบอร์.......พวกท่านคือเมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตยที่จะหว่านลงไปด้วยเลือด, หยาดเหงื่อ, และคราบน้ำตา........
ขอให้ทุกท่านคิดถึง “บางระจัน”
ขอให้ทุกท่านคิดถึง “ความหาญกล้าของพวกเขา”
ขอให้ทุกท่านคิดถึง “ประชาธิปไำตยที่ท่านรักและหวงแหน”
ขอให้ทุกท่านคิดถึง “ลูกหลานของท่านที่จะต้องคงอยู่ต่อไปในแผ่นดินนี้”
แล้วขอให้ทุกท่าน “จับมือกัน” เกี่ยวร้อยดวงใจเข้าไว้ด้วยกัน เพราะเรา “ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากกันและกัน” เท่านั้น จากนั้นให้เราเดินไปด้วยกันอย่าท้อถอยสู้ในส่วนที่ท่านสู้ได้.....ทำในสิ่งที่ท่านทำได้.....
แม้เราอาจจะต้องทุกข์ยาก.....
แม้เราอาจจะต้องถูกข่มเหง.......
แม้เราอาจจะไม่ได้รัีบความเป็นธรรม.....
แม้เราอาจจะต้องสูญเสียทุกอย่าง........
แต่เราผู้รักประชาธิปไตยทุกคนจะจับมือร่วมกันยืนขี้น มองดูกองทัพอันมหึมาของศัตรู และร้องตะโกนอย่างเต็มกำลังว่า “เข้ามาเลยกูไม่กลัวมึง”