WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, November 1, 2009

โลกล้อมไทย พ.ศ.๒๕๕๒

ที่มา Thai E-News



โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 22
1 พฤศจิกายน 2552

ความนับถือที่ผู้นำต่างประเทศมีต่อรัฐบาลไทยหดหายไปจนหมดสิ้น เพราะเขารู้ว่าบัดนี้ผู้นำประชาธิปไตยของไทยถูกแทนที่ด้วยหุ่นเชิดของนักการเมืองหมายเลขหนึ่งของไทย ผู้ซึ่งเป็นนักการเมืองเขี้ยวลากดินที่ห่อหุ้มตัวเองไว้ในเกียรติยศมายาที่สร้างขึ้น และสะสมมานานปี ผนวกกับโฆษณาตัวเองซ้ำซากมากกว่านักการเมืองคนใดในประเทศ จนกลายเป็นการครอบงำอย่างสมบูรณ์




ใครรู้ข่าวผู้นำอาเซียนออกอาการประท้วงเมืองไทยแล้วเกิดโมโหโทโสในทำนองคลั่งชาติหรือกูไม่กลัวมึง โปรดสงบจิตใจและฟังทางนี้สักนิด

แล้วจะรู้ว่าเขาประท้วงใครในเมืองไทย

สิ่งที่เกิดขึ้นเกือบจะเรียกได้ว่า ไม่น่าเชื่อ และเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในอาเซียนหรือสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผู้นำเป็นจำนวนมากพร้อมใจกันแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนี้ต่อสมาชิกระดับก่อตั้ง (founding member) และมีเครดิตสูงอย่างไทย

คำประกาศของฮุนเซ็น หรือสมเด็จเดโช นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชานั้นยังไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นจุดยืนทางการเมืองของตัวท่านเองที่จะรักษาความเป็นเพื่อนกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ขนาดเชิญมาอยู่ในประเทศอย่างถาวรและปลูกบ้านให้อยู่หนึ่งหลัง

จะกระเทือนซางพวกอิจฉาริษยาระดับสูงของไทยถึงขั้นรวมสังขารไม่ติด ท่านก็คงไม่ใส่ใจนัก

แต่เมื่อผู้นำในระดับหัวหน้ารัฐบาล ๕ ประเทศจากทั้งหมด ๑๐ ประเทศ ได้แก่ ประธานาธิบดีสุสิโล บัมบัง ยุดโดโยโนแห่งอินโดนีเซีย สมเด็จพระราชาธิบดีฮาเซนัล บอลเกียห์แห่งบรูไนดารุสซาลัม นายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุนเซ็นแห่งกัมพูชา นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคแห่งมาเลเซีย และประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโยแห่งฟิลิปปินส์ พร้อมใจกันงดเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ ๑๕ ณ หัวหิน ประเทศไทย จนถึงขั้นต้องงดการถ่ายภาพหมู่ผู้นำตามประเพณี ตาทุกคู่ก็จ้องเข้ามาที่ประเทศไทย เพราะรู้ว่าผิดปกติ

บรรยากาศอันเงื่องหงอยเซื่องซึม พาให้สาระของการประชุมถดถอยไปด้วย คำกล่าวปิดประชุมของนายกรัฐมนตรีไทยที่ควรเป็นบทสรุปที่เปี่ยมไปด้วยความคิดและความริเริ่มดีๆ จากที่ประชุม กลับกลายเป็นเบี้ยหัวแหลกหัวแตก ขาดสาระที่เป็นหนึ่งเดียวและไม่มีความสร้างสรรค์ใดๆ

ความจริงใบหน้าของคุณอภิสิทธิ์ก็บอกทุกอย่างหมดโดยไม่ต้องพูดสักคำ รวมเอาความผิดหวัง ความสับสนงุนงง โทสจริต และความเบลอคิดอะไรไม่ออกไว้ในนั้นเสร็จสรรพ เรียกว่าโศกนาฏกรรมส่วนตัวก็ว่าได้ เดิมทีคนที่เขาจับตัวอภิสิทธิ์ขึ้นมาตั้งไว้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเขาหวังว่า คนนี้จะเป็นหน้าตาของเขาในเวทีระหว่างประเทศได้ แล้วก็ผิดหวัง เพราะอภิสิทธิ์ภายใต้ความกดดันกลายเป็นคนที่หมดสิ้นแทบทุกอย่าง คิดไม่ออกบอกไม่ถูก และผู้นำอาเซียนอื่นๆ เขาก็มองด้วยสายตาที่สมเพช ทุกคนที่นั่งเรียงแถวหน้าเวทีในพิธีปิดประชุมที่หัวหิน ต่างรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและอภิสิทธิ์เป็นใคร

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกับประเทศที่เกิดปฏิญญากรุงเทพ พ.ศ.๒๕๑๐ และสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ประเทศที่คุณทักษิณในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสามารถจัดประชุมสุดยอดเอเปคได้อย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน?

คำตอบที่ง่าย สั้น และตรงที่สุดคือ ความนับถือที่เขามีต่อรัฐบาลไทยหดหายไปจนหมดสิ้น เพราะเขารู้ว่าบัดนี้ผู้นำประชาธิปไตยของไทยถูกแทนที่ด้วยหุ่นเชิดของนักการเมืองหมายเลขหนึ่งของไทย ผู้ซึ่งเป็นนักการเมืองเขี้ยวลากดินที่ห่อหุ้มตัวเองไว้ในเกียรติยศมายาที่สร้างขึ้นและสะสมมานานปี ผนวกกับโฆษณาตัวเองซ้ำซากมากกว่านักการเมืองคนใดในประเทศ จนกลายเป็นการครอบงำอย่างสมบูรณ์

ถ้าไปแอบถามผู้นำเหล่านี้เป็นส่วนตัว จะพบว่าแต่ละท่านรู้ทั้งนั้นว่าใครเป็นตัวการใหญ่คอยป่วนประเทศไทยถึงขนาดนี้

การไม่ให้ความสำคัญกับคนในตำแหน่งอย่างคุณอภิสิทธิ์ เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งว่าเขาไม่อยากเสียเวลากับหุ่นเชิดของใคร ยิ่งกระเซอะกระเซิงไปจัดประชุมถึงหัวหิน เพื่ออ้างความเป็นเขตพระราชฐาน เขาก็ยิ่งเข้าใจลึกซึ้งว่าชนชั้นปกครองของไทยกำลังว้าวุ่นแค่ไหนกับการปกป้องตัวเอง

สนใจแต่เรื่องของอำนาจและผลประโยชน์รอบตัว ไม่ได้คิดถึงบ้านเมืองและประชาชนเลยสักนิด อย่างนี้ก็เป็นเหตุให้มายาบางอย่างค่อยๆ หลุดออกทีละชิ้น เหมือนจิตรกรรมฝาผนังที่ไร้การบูรณะจนแม้ต่างชาติต่างภาษาเขาก็เริ่มสังเกตเห็น

ความล้มเหลวทางเกียรติยศในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๑๕ ความจริงเป็นอาการท้ายๆ แล้ว เพราะก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีผู้นำเด่นๆ ของโลกมาเยือนประเทศไทยเลย ไม่ว่าในฐานะแขกของรัฐบาลหรือพระราชอาคันตุกะ ผิดกับยุคประชาธิปไตยและเศรษฐกิจเฟื่องฟูที่หัวกระไดบ้านไทยไม่เคยแห้ง

งานที่ติดอันดับโลกอย่างตอนที่กราบบังคมทูลและกราบทูลเชิญกษัตริย์และพระราชวงศ์มาแสดงมุทิตาจิตถวายพระเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ อย่าได้คิดจัดอีกเลย ไม่มีทางเป็นไปได้ในเงื่อนไขปัจจุบันของไทย

อย่างเก่งก็จัดกันแค่นๆ เหมือนตอนเปิดสิ่งที่เรียกกันเสียหรูว่า “โทรทัศน์อาเซียน” หรือ “ASEAN TV” ในวันเดียวกับการประชุมสุดยอดอาเซียน คือมีแต่นายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีไทย และเลขาธิการอาเซียนผู้เคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ร่วมงานกันเต็ม หาตัวแทนของประเทศอื่นๆ ในอาเซียนทำยาไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะเขาเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน

ผู้นำของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทยจงรู้ไว้เถิด คุณได้ทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของชาติถึงขั้นที่เขาเห็นเราเป็นตัวตลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปเรียบร้อยแล้ว

คิดแล้วก็ใจหาย ในช่วงก่อนและหลังการประชุมเอเปคที่รัฐบาลทักษิณเป็นเจ้าภาพ ไทยเคยเนื้อหอมขนาดที่ได้รับการทาบทามจากมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดของโลกถึง ๓ ชาติเพื่อเยือนเมืองไทยพร้อมกับเข้าร่วมประชุมด้วย นั่นคือประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิลยู บุชแห่งสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีหู จิน เทาของจีน มาคราวนี้ผู้นำอาเซียนและมหาอำนาจกลับเลี่ยงที่จะเยือนประเทศไทยก่อนหรือหลังการประชุมสุดยอด ทันทีที่ปิดประชุมต่างรีบเดินทางออกจากหัวหินเหมือนคนรังเกียจกัน

พูดประสาชาวบ้านได้ว่าเขาเดินทางมาร่วมประชุมในเมืองไทยกันตามหน้าที่ แต่ไม่มีความรู้สึกอยากคบกับรัฐบาลไทยเหมือนที่เขารู้สึกสมัยเอเปค

ความขัดแย้งในหมู่คนไทยที่แบ่งสีแบ่งฝ่ายกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่เทียบไม่ได้เลยกับฐานะที่ตกต่ำของไทยในสายตาโลกที่วัดและประเมินได้จากงานนี้ เศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทยที่ต้องพึ่งพาและพึ่งพิงชาติอื่นๆ จะเดินต่อไปอย่างราบรื่นได้อย่างไรเมื่อตรายี่ห้อของไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม

แล้วอย่ามาพูดพล่อยๆ ว่าต่างชาติต่างภาษาเขาคิดขนาดนี้เพราะคุณทักษิณหรือมีใครจากเมืองไทยเที่ยวไปบังคับเขา ผมเคยได้ยินอะไรแบบนี้มาบ้างและรู้ทันทีว่าเป็นความคิดปัญญาอ่อนของพวกอำมาตย์ไทยที่คลานกันอยู่แถวนั้นโดยแท้ เขารู้กันทั่วในโลกาภิวัตน์ว่า หาใครไปบังคับใครได้ยากนักในโลกใบนี้

ความรักชอบในประชาธิปไตยและความรังเกียจระบอบเผด็จการโดยตรงและแอบแฝงเป็นความบริสุทธิ์จริงใจของเขาที่ใครไปบังคับไม่ได้

ช้างตายทั้งระบอบ ครอบด้วยใบบัวไม่ไหว

เรื่องมันก็เท่านั้นครับ.
-------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน)Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)