WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 29, 2008

ขบวนการ ‘ไม่’ ยุติธรรม!ไม่ยุติธรรม...จริงๆ!

ระหว่างที่ คมช. ยังยึดอำนาจบ้านเมือง ไม่มีสื่อใดวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของกลุ่มยึดอำนาจแบบตรงไปตรงมา เพราะบางคนได้รับการตอบแทนจาก คมช. ให้เข้าไปเป็นใหญ่ควบคุมสื่อของรัฐ
เปรมมันนี่...กันไปตามๆ กัน!
สื่อเชียร์เผด็จการ ได้รับการแต่งตั้งยกโขยงไปอยู่ในสภาโลซก กินเงินเดือนกว่าแสนชื่นสะดือกันไป คงมีแต่ “วาทตะวัน สุพรรณเภษัช” ที่วิจารณ์ คมช. อย่างสนุกสนาน มันอารมณ์ท่านผู้อ่าน จนติดกันงอมแงม
พ็อกเก็ตบุ๊ก “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ของ “นักเขียน-มิลเลี่ยนคลิก” คนนี้
วางจำหน่ายไม่ได้ เพราะร้านหนังสือถูกข่มขู่ แต่กระนั้น ยอดขายยังถล่มทลาย พรรคพลังประชาชนซื้อไปแจกให้ผู้สมัคร ส.ส. และสมาชิก วันประชุมใหญ่ครั้งแรก และชนะการเลือกตั้งไปในที่สุด
หนังสือเล่มใหม่ที่ดังก่อนพิมพ์คือ “เหี้ยส่องกระจก ถึงจุดจบรัดทำมะนวย” แม้ขณะนี้ยังไม่วางตลาดเต็มตัว เพราะสถาบันการศึกษาของราชการ สั่งเอาไว้มาก แต่ก็แบ่งส่วนหนึ่งจำหน่ายทางเว็บไซต์ vattavan.com ซึ่งแฟนๆ ก็แห่กันสั่ง...น่าชื่นใจ
คนที่อ่านแล้วเขาบอกว่า
ใครก็ตามที่อ่านหนังสือ 2 เล่มนี้จบ รับรองจะไม่คบก๊วนแมลงสาบการเมือง และไม่มีวันลงคะแนนให้นักกินเมืองที่สังกัดก๊กนี้เป็นอันขาด!
*************
ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องที่อยากพูดวันนี้ ขอเล่าเรื่องที่เคยได้ร่ำเรียนมาตั้งแต่ไปศึกษาในสหรัฐอเมริกา และเชื่อว่าคนที่เคยไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องตำรวจ หรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ โดยเฉพาะที่เคยไปศึกษาเกี่ยวกับวิชาการตำรวจ หรือสถาบันสอบสวนกลางที่รู้จักกันในชื่อ FBI Academy (Federal Bureau Of Investigation Academy) เรื่องมีอยู่ว่า
หญิงสาวผู้อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ลงมาซักผ้าที่ห้อง Laundry ซึ่งอยู่ที่ชั้นล่างสุด (basement) เธอถูกคนร้ายใช้ถุงใส่เสื้อผ้าคลุมศีรษะ กดให้นอนราบลงกับพื้น แล้วปฏิบัติการข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ แล้วเผ่นหนีไป
ตำรวจมายังที่เกิดเหตุ หลังจากที่ตรวจสถานที่และสอบปากคำแล้ว ก็นำตัวชายคนหนึ่งชื่อ นายมัลลอรี่ ซึ่งเป็นคนทำงานในห้องซักผ้าไปสถานีตำรวจ หลังจากถูกซักถาม เขาก็เปิดปากรับสารภาพ และยังอยู่ที่สถานีตำรวจต่อไปอีกระยะเวลาอีกนานหลายชั่วโมง ก่อนที่จะมีการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ
นายมัลลอรี่ผู้ต้องหาถูกฟ้องต่อศาล
ทนายความของผู้ต้องหาได้ต่อสู้คดี โดยอ้างว่า คำรับสารภาพของผู้ต้องหานั้นเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาสู่การพิจารณาโดยมิชอบ เพราะคำรับสารภาพของนายมัลลอรี่นั้นเกิดมาจากการที่ตำรวจควบคุมนายมัลลอรี่ไปสถานี โดยยังมิได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาตามระเบียบ ยังผลให้คำสารภาพนั้นเป็นคำรับที่มาสู่การพิจารณาของศาลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (Illegal evidence that comes to the court)
ศาลยกฟ้องนายมัลลอรี่!
ทนายความที่ต่อสู้คดีให้นายมัลลอรี่ ชื่อ นายโทมัส อี ดิวอี้ (Thomas Edmund Dewey) เป็นทนายความที่ชาญฉลาด และยกประเด็นเรื่องพยานหลักฐานที่มาสู่ศาลโดยมิชอบมาเป็นประเด็นข้อต่อสู้ในคดี และประสบความสำเร็จ ความดังของเขาจากคดีนี้ส่งผลให้เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชน ได้เป็นอัยการเขต และอัยการใหญ่รัฐนิวยอร์ก
ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก และเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี กับประธานาธิบดี แฮร์รี่ เอส ทรูแมน (President Harry S. Truman) แม้จะเป็นต่อมากในการเลือกตั้ง ขนาดหนังสือพิมพ์ใหญ่ยักษ์อย่าง Chicago Daily Tribune กล้าพาดหัวล่วงหน้าว่า
“Dewey defeats Truman!” หรือ “ดิวอี้ ‘เฆี่ยน’ ทรูแมน”
แต่ดิวอี้กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด ชิคาโกเดลี่ทรีบูนหน้าแตกยับเยิน ภาพทรูแมนชูหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่พาดหัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายชนะ กลายเป็นภาพแสตมป์ยอดนิยมของสหรัฐไป
แสดงให้เห็นว่า กระบวนการพิจารณาของศาลสหรัฐนั้นเข้มงวดเป็นอย่างมาก เพราะเขาคำนึงถึง “สิทธิมนุษยชน” ว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง การนำเสนอพยานหลักฐานก็ต้องเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยชอบ กระบวนการทุกอย่างต้องถูกต้อง
หากฝ่ายโจทก์คือพนักงานอัยการของรัฐ นำเสนอหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบต่อศาล นอกจากศาลไม่รับฟัง แม้พยานหลักฐานอื่นชัดเจนก็ตามที
ศาลก็ยังยกฟ้อง ด้วยเหตุที่มีการละเมิดสิทธิของพลเมืองอย่างนี้!!
หลังปี ค.ศ.1980 ที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้พ่อ ได้พูดคำว่า “ระเบียบโลก” ออกมาหลายครั้งหลายหน เพราะหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ประเทศในเครือสหภาพได้แตกตัวออกเป็นประเทศอิสระ อเมริกากลายเป็นมหาอำนาจแต่เพียงประเทศเดียว สหรัฐอเมริกาจึงได้กำหนดแนวทางที่เรียกว่าเป็น “ระเบียบโลก” ออกมาว่า ประเทศที่จะคบหากับสหรัฐนั้น พึงมีแนวทางดังต่อไปนี้
1.ต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย
2.สิทธิมนุษยชนจะต้องได้รับการรับรอง (และมีผลในทางปฏิบัติด้วย)
3.ต้องมีระบบการค้าเสรี
ระเบียบโลกนั้น แม้ข้อที่ 3 จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้างว่าถูกกำหนดขึ้นมา เพราะหากมีระบบการค้าเสรี ชาติที่ด้อยในเรื่องพลังทางเศรษฐกิจ จะถูกครอบครองโดยชาติมหาอำนาจ
ท่านผู้อ่านอาจคาดเดาได้ว่า ผมจะพูดอะไรต่อไป?
ใช่ครับ!
จำเป็นต้องบอกกันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า การปฏิวัติรัฐประหารทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยชัดเจน ไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัย
การยึดอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมด้วยกำลังนั้น เป็นการทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้าย เพราะไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทำลายระบบกฎหมายที่มีอยู่ ด้วยการเข้าแทรกแซงอำนาจตุลาการ อย่างที่เคยยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน คือ
ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีประกาศให้ศาลอาญาแปรสภาพเป็นศาลทหาร
เมื่อ พล.อ.สนธิ เข้ายึดอำนาจ ได้นำผู้พิพากษาออกจากระบบมาเป็น
ตุลาการรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดีการเมืองเรื่องยุบพรรค ท่านเหล่านั้นขึ้นนั่งบัลลังก์โดยไม่ได้สวมเสื้อคลุมบอกตำแหน่งฐานะอันสูงส่ง และมีเกียรติยิ่งของผู้พิพากษาศาลสูงแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ท่านทั้งหมดแต่งกายชุดสากล เหมือนกับพ่อค้าประชาชนไปงานมงคลสมรส หรืองานศพปกติทั่วๆ ไปแค่นั้น...น่าเศร้ามาก!
ดังนั้น คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ (เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า คำตัดสิน หรือ “คำพิพากษา” ก็ได้ความอย่างเดียวกัน ไม่ได้ออกมาภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์เจ้าของชาวไทย!!)
ชาวบ้านที่คันปากก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ยังดีที่ไม่ได้บอกว่า
คำพิพากษา...ออกมาภายใต้ระบอบเผด็จการ!!!
นอกจากนี้แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับบังฮิตเลอร์ ยังได้รับรองตุลาการรัฐธรรมนูญ (ที่เผด็จการตั้ง) เป็นศาลรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2550 อีกด้วย (มาตรา 300)...
...เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ตามมาตรา 204 ไม่ผิดเพี้ยน
นี่ไง...ฤทธิ์เผด็จการแบบต่อเนื่อง
ใครไม่เชื่อผม ลองเปิดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันดูเอาเองเถอะครับ!
ที่สำคัญและที่ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันมากในระยะนี้ก็คือ การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ที่เรียกกันว่า คตส. ขึ้นมา ผู้คนที่เห็นว่าการตั้งคณะกรรมการที่มาจากคนเป็นปฏิปักษ์ มาสอบสวนกันนั้น เป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้ ไม่ว่าชาติไหนๆ ทั้งนั้น
พวกที่เห็นดีเห็นงามกับการปฏิวัติรัฐประหาร พากันบอกว่า การตั้ง คตส. ขึ้นมาสอบสวนนั้นเป็นของดี ไม่มีอะไรเสียหายเลย เพราะสุดท้ายพยานหลักฐานทั้งหลายก็ถูกพิจารณาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่าผู้พิพากษาศาลสูงท่านต้องมีวิจารณญาณที่ดี สามารถชี้ผิดชี้ถูกให้ชาวบ้านเห็นกันได้ชัดเจน
คนที่พูดอย่างนี้ไม่ได้มองกันให้ยาวไปถึงเรื่องความไม่ชอบธรรมของการปฏิวัติรัฐประหาร ว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยลง ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เป็นการทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้าย รับกันไม่ได้เลยทีเดียว
ที่ร้ายที่สุด เป็นการทำลายระเบียบโลกลงไปด้วย!
นี่เอง ทำให้ประเทศไทยต้องเสื่อมเสียไปในสายตาของโลกอารยะ จะซื้อหายุทโธปกรณ์ที่จำเป็นก็ทำไม่ได้ เพราะชาติมหาอำนาจนั้นเขาไม่ยอมขายให้ประเทศเผด็จการโดยเด็ดขาด
ในที่สุด การจัดหาอาวุธทั้งหลายก็ไปตกอยู่ในมือของคณะทหารผู้ก่อการ และมีเสรีอย่างเต็มที่ ไปจัดซื้อหาจากประเทศอื่น โดยไม่ต้องคำนึงถึงปากหอยปากปูที่ร้องกันระงมว่า เป็นไปด้วยความไม่โปร่งใสนานัปการ
เรื่องที่น่าประหลาดใจ และจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอีกมาก นั่นก็คือ เมื่อ คตส. ซึ่งมีหน้าที่สอบสวนนายกฯ เก่า หมดอายุลงตามเงื่อนไขของกฎหมายที่สภาโลซกของพวกปฏิวัติต่อให้ สมาชิกของ คตส. รายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาอาวุโสมาก่อน ลดตัวลงมาทำงานในหน้าที่ คตส. พอหมดหน้าที่
ก็เด้งเชือก กลับขึ้นไปดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาอีกครั้ง!
ดูแล้วห้วงเวลาช่างเหมาะเจาะ เพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่คดีซึ่งท่านเป็น คตส. เดิมนั้น และสอบสวนมาก่อนหลายสำนวน ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา
แม้ผู้เขียนจะเชื่อว่าผู้พิพากษาท่านนี้ไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับสำนวนการสอบสวนเดิม ที่ตนเองในฐานะ คตส. กับพวก ได้ดำเนินการเอาไว้ก่อน และเพิ่งเข้ามาสู่การพิจารณาของศาลจังหวะเดียวกันพอดี
ตรงนี้แหละครับ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันให้ขรมไปเลย!!
ผู้คนเขาบอกว่า แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่ผู้พิพากษาอดีตสมาชิก คตส. สอบสวนไว้ก่อน แต่ก็หลีกเลี่ยงปากหอยปากปูไม่ได้ว่า
ในฐานะที่เป็นผู้พิพากษาด้วยกัน การพิจารณาคดีก็คงให้เครดิตสำนวนที่ผู้พิพากษาอาวุโสไปทำเอาไว้ตอนเป็น คตส. กันบ้าง
ไม่มากก็น้อย...เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก!
คนไทยกับการวิพากษ์วิจารณ์ นินทาด่าว่านั้น เป็นของคู่กันเสมอมา สมัยก่อนอาจไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์คนที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่า แต่ยุคยาบ้าครอบครองเมือง ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครกลัวใคร
ใช่แต่แค่นั้นนะ หากท่านเป็นคนไทยที่ใฝ่ใจในการศึกษา ลองละสายตาจากตรงนี้ไปอ่านคดีของชาวอเมริกันอย่างนาย “มัลลอรี่” ที่ศาลยกฟ้อง เพราะผู้จับกุมละเมิดสิทธิเพียงควบคุมตัวไม่ชอบไม่กี่ชั่วโมง
คดีของอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้นได้มีการละเมิดสิทธิของความเป็นมนุษย์ตั้งแต่มีการรัฐประหาร การแต่งตั้งผู้ที่มาทำหน้าที่อย่างไม่ถูกต้อง แถมยังเอาผู้ที่ไม่ชอบผู้ถูกสอบสวนมาดำเนินการอีกด้วย ซึ่งเป็นการกระทำไม่ชอบอย่างยิ่ง
หากท่านมองเข้าไปในกฎหมายไทยเรา ถ้าการสอบสวนไม่ชอบ ก็ถือว่าไม่มีการสอบสวน พนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 130 อยู่แล้ว
สำหรับคดีของอดีตนายกฯ ทักษิณ นั้น การสอบสวนโดยคณะบุคคลที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ไปบอกคนบ้านไหนเมืองไหนก็ไม่มีใครเขาเห็นด้วยกันทั้งนั้น
ใครเขาบอกว่า กระบวนการยุติธรรมของบ้านเรามันใช้ไม่ได้ เราต้องหยุดฟังและคิดก่อน อย่าไปด่วนต่อว่าเขา เพราะถึงแม้ว่า อัยการ และศาล ยังเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ไม่ขัดเขิน แต่ของที่ไม่ถูกต้องอย่าง คตส. นั้น
เปรียบเหมือน “ของเน่าของเสีย” ใช้การไม่ได้
เอาของดีสองอย่าง คือ ระบบอัยการ และระบบศาลไทย ไปแช่ตู้เย็นปนกันกับของไม่ดี ของเน่าของเสีย ไม่ช้าก็พลอยเน่า...ไปด้วยกันทั้งหมด!
ยิ่งรัดทำมะนวยของบ้านเราด้วยแล้ว อยากให้ใครก็ได้ที่เป็นนักเรียนกฎหมาย ลองจับเอามาตรา 309 ของฉบับหัวคูณนี้ ไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วลองส่งให้นักกฎหมายชาติเจริญแล้วเขาดูกัน
รับรองว่า
เขาอ่านจบลง ก็คงหัวร่องอหาย แล้ววิจารณ์กันด้วยความขบขันว่า
“ไอ้รัด ‘ทำมะนวย-ฉบับหัวคูณ’ ของบ้านเอ็งนี้ มันช่าง UPPREE จริงๆ!”