ประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพโดยสมบูรณ์ในการนับถือศาสนา นิกายศาสนา และลัทธิศาสนา แต่ผู้นับถือศาสนา นิกายศาสนา และลัทธิศาสนานั้นๆ จะต้องมีความสงบ ไม่จ้วงจาบ ดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น และกล่าวอ้างหลักคำสอนของศาสนา นิกายศาสนา และลัทธิศาสนา เพื่อปลุกปั่นให้คนในสังคมเกิดความแตกแยก หรือส่อเค้าให้เกิดสงครามกลางเมือง เพื่อล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จากหนังสือ “การลอกคราบเป็นการเมืองใหม่” ที่จัดพิมพ์โดยสันติอโศก ที่กำลังเผยแพร่อยู่ในขณะนี้ โพธิรักษ์ ซึ่งถูกปกาสนียกรรมให้พ้นจากความเป็นพระ อันเนื่องมาจากการกล่าวอ้างตนเป็นพระอริยะ กล่าวจ้วงจาบสถาบันสงฆ์ อธิบายพระธรรมวินัยให้วิปริต จนกระทั่งคณะสงฆ์ลงมติว่า เป็นเสี้ยนหนามพระพุทธศาสนาตามปกาสนียกรรมที่ 1/2532 และศาลฎีกาตัดสินให้มีความผิด 66 กระทง ต่างกรรมต่างวาระ พิพากษาจำคุก 54 เดือน รอลงอาญา 2 ปี
ในหนังสือที่กำลังพิมพ์เผยแพร่โดยแก๊งพันธมิตรฯ อยู่ในขณะนี้ โพธิรักษ์ประกาศชัดเจนว่า “ตนเองและผู้ที่ห่มผ้าเหมือนพระสงฆ์ทั้งหลายจากสันติอโศก” ยังเป็นพระ เป็นสมณะ อย่างชัดเจน
การแต่งกายเลียนแบบพระ และใช้วัสดุเหมือนบาตร เที่ยวออกรับบิณฑบาตจากประชาชนที่สะพานมัฆวานฯ ถือว่าเป็นการกระทำการเยาะเย้ยกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างฮึกเหิม
การประกาศสถาปนาระบอบการเมืองใหม่ ที่จะนำเอาอริยบุคคลระดับพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ เข้าไปเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร 90% หรือ 80% หรือ 70% ในหนังสือดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า โพธิรักษ์คือเจ้าของทฤษฎีการเมืองใหม่ 70:30 ของแก๊งพันธมิตรฯ
นอกจากนี้ ในหน้ารองสุดท้ายของหนังสือ โพธิรักษ์ยังบอกว่า “ทำไมพระต้องออกมายุ่งกับการชุมนุม” ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในขณะนี้ และยังยืนยันว่า “ตนเองได้นำพระสงฆ์จากสันติอโศกมาล้มรัฐบาลทักษิณ จนทำการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สำเร็จได้อย่างสงบ” ยิ่งตอกย้ำว่า โพธิรักษ์ยังคงละเมิดคำสั่งของมหาเถรสมาคม และคำสั่งของศาลอย่างไม่เกรงกลัวความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าระบอบการเมืองใหม่ 70:30 พ่อท่านสมณโพธิรักษ์ (คำเรียก นายรักษ์ รักษ์พงษ์ ในหนังสือดังกล่าว) จะสามารถนำพาพลพรรคสันติอโศกเข้าไปนั่งในสภาในส่วน 70%
นอกจากนี้ ก็จะส่งตัวแทนของสันติอโศกลงสมัครรับการเลือกตั้งในส่วน 30% ในนามพรรคเพื่อฟ้าดิน และพรรคพันธมิตรที่ตั้งขึ้นมา เช่นพรรคที่ส่งตัวแทนลงแข่งขันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2551 ใน จ.เชียงราย
ถ้าการดำเนินการปลุกปั่นม็อบให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วกระจายม็อบออกไปในรูปของดาวกระจาย เพื่อสร้างความเดือดร้อน ปั่นป่วนให้แก่สังคมไทยให้มากและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเงื่อนไขให้ทหารออกมาปฏิวัติ หรือกระทำการด้วยวิธีการใดก็ตาม ที่จะทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช มีอันต้องพังพาบไป
ระบอบการเมืองใหม่ของแก๊งพันธมิตรฯ จะถูกหยิบยกนำมาใช้ทันที ไม่ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม
วิธีการในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศอิหร่าน ในตอนที่โคไมนี่สร้างเครือข่าย นำเอาศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเปิดเผย โดยการกล่าวหาพระเจ้าซาร์สารพัดประเด็น ทั้งเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น การแทรกแซงองค์กรต่างๆ การใช้เงินซื้อทุกอย่าง เป็นต้น
จนในที่สุด ประชาชนอิหร่านเกิดความเชื่อ เพราะโคไมนี่ใช้กระบวนการแทรกซึม ให้ร้าย กล่าวหาปากต่อปาก พระเจ้าซาร์จึงถูกล้มบัลลังก์ และประเทศอิหร่านก็เดินเข้าสู่ยุคมืด ลัทธิชาตินิยม ศาสนานิยมถูกปลูกฝัง โครงสร้างทางการเมืองของประเทศอิหร่านเปลี่ยนไปแบบเบ็ดเสร็จ ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติล้วนเต็มไปด้วยพระที่โคไมนี่แต่งตั้งเข้าไปใช้อำนาจ และต่อมาไม่นานประเทศอิหร่านก็ประกาศปิดประเทศในที่สุด
นอกจากนี้ เมื่อสิ้นพระเจ้าซาร์ โคไมนี่เข้ามามีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ได้มีคำสั่งให้โรงแรมและสถานที่ราชการที่มีพรม ให้นำพระพักตร์ของพระเจ้าซาร์ปูลาดตามทางเดิน เพื่อให้คนเหยียบด้วยความเกลียดชัง
สถาบันหลักของประเทศอิหร่านถูกเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง
โคไมนี่ผู้นำศาสนา กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ใช้อำนาจทั้ง 3 ด้านแต่เพียงผู้เดียว
สิ่งที่โพธิรักษ์ถูกกระทำจากคณะสงฆ์ไทยตั้งแต่ปี 2532 ยากนักที่โพธิรักษ์ และสานุศิษย์จะลืมได้ ถึงกับกล่าวว่า “30 ปีแก้แค้นก็ไม่สาย”
ถึงวันนี้ ทุกฝ่ายฟันธงว่า ถ้าโพธิรักษ์ได้อำนาจเป็นผู้นำ สิ่งที่เขาจะทำอย่างรีบด่วนคือ
1.จะชำระล้างสถาบันสงฆ์
2.จะเปลี่ยนแปลงยุบเลิกจารีตประเพณี
3.จะกุมบังเหียนผู้นำทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จ
4.จะควบคุมนโยบายรัฐบาลโดยการสร้างนักการเมืองอริยะขึ้นมาเอง ตามแนวทางพรรคเพื่อฟ้าดิน
5.จะสนับสนุนให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหุ่นเชิดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
6.ก่อตั้งศาสนาสันติอโศกเป็นศาสนาหลักของประเทศ
7.จะมี “สมณะของสันติอโศก” ไปนั่งสั่งการตามกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ
ระบอบการเมืองใหม่ 70:30 เป็น Priority ที่โพธิรักษ์มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต้องสถาปนาให้ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม
อย่าลืมว่า พลพรรคของสันติอโศกต้องสละบ้านเรือน สละครอบครัว สละทรัพย์สินเงินทอง สละสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้แก่โพธิรักษ์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
โพธิรักษ์สามารถบัญชาให้พวกสานุศิษย์ที่อาศัยอยู่ในสาขาต่างๆ ทั่วประเทศประมาณเกือบ 2 แสนคน ที่มีจิตวิญญาณอยู่ในกำมือของตนเอง ให้ทำอะไรก็ได้ แม้สิ่งนั้นจะเสี่ยงต่อชีวิตของพวกเขาก็ตาม
ที่สำคัญยิ่งคือ โพธิรักษ์มีงบประมาณใช้จ่ายเหลือเฟือ ที่รัฐต้องจัดสรรให้ปีละไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท ผ่านศูนย์คุณธรรม ซึ่งเป็นองค์การมหาชน และบริษัทจำกัดต่างๆ ในเครือของสันติอโศกทั่วประเทศ ที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าแรงงานให้แก่ใคร เพราะทุกคนอยู่ในระบบคอมมูนที่โพธิรักษ์ตั้งขึ้นมา
ถ้าทางบ้านเมืองยังไม่ตระหนักและตื่นขึ้นมาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โพธิรักษ์นี่แหละจะกลายเป็นโคไมนี่ของประเทศไทย ดังที่โพธิรักษ์เคยประกาศไว้ว่า เขาเป็นยิ่งกว่าโคไมนี่ที่เปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม จารีตประเพณีของประเทศอิหร่าน จนส่งผลให้อิหร่านต้องถูกโดดเดี่ยวจากโลกภายนอกอย่างทุกวันนี้