ไม่น่าเชื่อว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตนายทหารใหญ่ ที่ผ่านศึกสงคราม และผ่านสนามการเมืองมาแล้วอย่างโชกโชน และชุ่มแฉะ จะมีอาการร้อนรนกระสับกระส่ายถึงเพียงนี้
ทั้งที่ปากพล่ามบอกกับผู้ชุมนุมตลอดเวลาว่า “เราชนะแล้ว” และประกาศผลงานครั้งประวัติศาสตร์ ว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในรอบกว่าร้อยปี ที่ประชาชนยึดศูนย์กลางในการบริหารบ้านเมืองได้สำเร็จ
ฟังดูแล้วเสมือนว่าได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้แล้วเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ประกาศบนเวทีเหมือนอย่างกับกระทำปฏิวัติรัฐประหารได้แล้วก็ไม่ปาน
แต่ทำไมจึงมีคนเห็น พล.ต.จำลอง กระสับกระส่าย ไม่หลับไม่นอนตลอดทั้งคืน
ทำไมจึงต้องลงทุนบัญชาการขนยาง วางลวดหนามเพื่อป้องกันกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยตัวเอง ด้วยท่าทีเคร่งเครียดจนรอยย่นลามเลียไปทั่วใบหน้าขนาดนั้น
และในขณะที่ตัวเองออกมาพร่ำบอกว่าไม่กลัวการโดนจับกุม เพราะเคยติดคุกมาแล้วทั้งคุกตำรวจ คุกทหาร แต่ทำไมพฤติกรรมที่ออกมาจึงสวนทาง
เพราะนอกจากจะสร้างกำแพง สร้างแนวป้องกันซะมากมายแล้ว ก็ยังลงทุนเอาโซ่มาคล้องประตูขังตัวเองเอาไว้ข้างใน หวังไม่ให้คนในออก แต่คนนอกให้เข้ามาได้
จนตอนนี้ประชาชนในม็อบหลายรายเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าถูกขัง และยังมีการประกาศต่อเนื่องว่าอย่ากลับ อย่าออกไป โดยหวังให้คนเหล่านี้เป็นเกราะกำบัง
เหมือนอย่างที่ตั้งกำแพงผู้หญิงและคนแก่ รายรอบบรรดาแกนนำทั้งหลายเอาไว้
เรียกให้ดูเท่สักหน่อยก็คือการสร้างกำแพงมนุษย์ แต่ถ้าพูดกันด้วยความรู้สึกก็คือการเอาผู้หญิง และคนแก่บังหน้า เป็นการเกาะชายกระโปรงเอาตัวรอดและที่น่าแปลกใจบรรดาการ์ดทั้งหลายก็มีอาการเครียด ลุกลี้ลุกลนอยู่ตลอดเวลา หวาดผวาแม้กระทั่งเด็กส่งข้าว และเริ่มกลัวกันเอง ระแวงกันเอง
ตอนนี้หันซ้ายหันขวาก็เริ่มกังวลกันแล้วว่าคนที่อยู่ข้างๆ จะเป็นตำรวจแฝงตัวมาหรือไม่
ไหนจะยังมีตำรวจที่รักษาการอยู่ในอาคารต่างๆ อีก 400-500 นาย
ก็ยิ่งสร้างความหวาดผวา จน พล.ต.จำลอง ต้องออกมาประกาศว่าให้ชายตามองตำรวจเหล่านี้เอาไว้ เพราะอาจจะปฏิบัติการจากภายในทันที พร้อมกับจังหวะที่มีการบุกเข้ามาจากภายนอก
ซ้ำร้ายเคราะห์กรรมยังมาตกกับผู้สื่อข่าว ที่บรรดาลิ่วล้อ ไม่สนอกสนใจเข้าข่มขู่ ตะคอก รื้อค้น แม้กระทั่งทำร้ายร่างกายกันเป็นว่าเล่น
ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวเอ็นบีทีที่โดนล้อมกรอบ ผู้สื่อข่าวมติชน ที่โดนการ์ดพันธมิตรฯ ทำร้ายร่างกาย จนต้นสังกัดต้องส่งรถมารับเพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย ซึ่งกรณีนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็รู้พฤติกรรมของลูกสมุนดี เพราะเป็นคนเดินมาส่งนักข่าวสาวถึงรถ แต่ไม่ยอมปริปากชี้แจง
นอกจากนี้เรื่องราวความ “ปอดแหก” ของ พล.ต.จำลอง ยังเห็นได้จากการพยายามสั่งเสียหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่วันแรกเพิ่งประกาศเป็นทางการตั้ง ศิริชัย ไม้งาม สาวิทย์ แก้วหวาน และ สำราญ รอดเพชร เป็นแกนนำชุด 2 เพื่อให้สานงานต่อในยามแกนนำชุดแรกอยู่ในคุก
ข้ามวันก็กลับมีชื่อของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เพื่อนร่วมรุ่น จปร.7 ที่เป็นรุ่นใหญ่จะเข้ามาสืบสานงานต่อ
คงคิดว่าสบายใจมากกว่าถ้าได้มืออาชีพเข้ามาทำงาน ไม่ใช่แค่เด็กเมื่อวันวานอย่าง 2-3 คนก่อน
แม้แต่สำราญ ที่ดูอาวุโสสักหน่อย ก็อาจถูกดูแคลนในเชิงสติปัญญา เพราะเพิ่งจะจบปริญญาเพียงเมื่อปีสองปีที่ผ่านมา จาก มสธ. แถมยังร่ำลือกันในหมู่เพื่อนร่วมรุ่นว่าลอกการบ้านเป็นประจำ
หรือไม่...การงัดชื่อ พล.อ.พัลลภ ขึ้นมาขายก็อาจจะเพราะต้องการชูภาพความน่าเกรงขาม เพราะเมื่อคราวการปราบปรามโจรใต้ที่มัสยิดกรือเซะ และมีคนตายเป็นเบือ โดยไม่รู้ใครเป็นโจร ใครเป็นคนบริสุทธิ์ และกรณีของคาร์บอมบ์ ที่ป้วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้านและในเส้นทางไปทำงานของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีการกล่าวอ้างถึง พล.อ.พัลลภ โดยที่เจ้าตัวพยายามออกมายืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง
ถึงวันนี้ สมัคร สุนทรเวช สั่งห้ามตำรวจสลายการชุมนุม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นข่าวดีของ พล.ต.จำลอง และม็อบพันธมิตรฯ หรือไม่
เพราะตอนนี้ม็อบกำลังกดดันตัวเอง กำลังปิดประตู ล้อมรั้วกักขังตัวเอง ที่ไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อ และอดทนไปได้นานแค่ไหนพูดจากันด้วยความห่วงใย...ต้องบอกว่า พล.ต.จำลอง คงต้องเครียดให้น้อยกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
และจะไม่ทันได้เห็นการขุดหลุมฝังนายกฯ สมัคร อย่างที่ประกาศบนเวที ไม่ทันเห็นนายกรัฐมนตรีชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ทันเห็นประเทศไทยปกครองด้วยระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ และไม่ได้เห็นลัทธิสันติอโศกเป็นศาสนาประจำชาติ
ที่สำคัญสุนัขจรจัดที่ทุ่งสองห้องจะอดตายกันหมด...สงสารหมา...!!