ได้ชมตัวอย่างหนังเรื่อง “หนึ่งใจเดียวกัน” ที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงร่วมแสดงด้วย ได้เห็นความน่ารักของเด็กๆ และเรื่องการบังคับขู่เข็ญของผู้ใหญ่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตรงนี้ก็น่าสนใจแล้ว
จากที่ได้ถามคนที่ดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ต้องไปดูเอง”
ผมก็นึกอยู่ในใจว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องของการมีน้ำจิตน้ำใจให้กัน เป็นเรื่องของความห่วงหาอาทรกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ดูแลเอาใจใส่กัน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ห่างไกลปืนเที่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งชาติกำลังแสวงหาต้องการ
แต่พอกลับมาดู “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นกลางกรุง จิตใจเกิดความห่อเหี่ยวขึ้นมาทันทีทันใด เป็นความวุ่นวาย ว้าวุ่นใจพอสมควรครับ ทำให้อดห่วงไม่ได้ว่า บ้านเมืองเราจะเดินไปได้อย่างไร ยิ่งมีการประกาศรวมพลเพื่อเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่ในวันนี้ด้วยแล้ว อดเป็นห่วงชาติบ้านเมืองไม่ได้จริงๆ
หรือจะเอาอย่าง “พระเจ้าตาก” สั่งทุบหม้อข้าวหม้อแกงก่อนเข้าตีเมืองจันท์...ก็ไม่รู้
ผมมองว่านี่เป็น “ทางเลือกเดียว” และทางเลือกสุดท้ายของพันธมิตรฯ ที่จะทำได้ในตอนนี้ ขนาดจะไปให้กำลังใจเด็กนักเรียน โรงเรียนโยธินบูรณะ ทางโรงเรียนก็ปิดประตูใส่หน้า ผู้อำนวยการสั่งปิดโรงเรียนหนี...จะน่ารังเกียจอะไรปานนั้นก็ไม่รู้
วันนี้...สังคมได้รับรู้แล้วว่า บรรดาแกนนำการชุมนุมประท้วงมีที่มาที่ไปอย่างไร
จึงไม่แปลกที่จะมีการกล่าวหาและเรียกร้องให้ถอดรายการ “ความจริงวันนี้” ที่มี นายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นผู้ร่วมรายการ ออกไปจากผังรายการทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ที่พูดถึง “ความจริง” ให้ได้รับรู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง
ประชาชนได้รับรู้ความจริงหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ป.ป.ช. สตง. หรือการดองเรื่อง ปรส. เอาไว้ ซึ่งไม่มีเวทีไหนพูดถึง
ล่าสุดเป็นภูมิหน้าภูมิหลังของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญของพันธมิตรฯ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยออกปากชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็โกรธ ออกมาโจมตีกล่าวหาอย่างไร้ยางอาย
ต้องยกประโยชน์ให้รายการ “ความจริงวันนี้” ที่มีนักการเมืองที่คร่ำหวอดในวงการอย่าง นายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ระบุชัดเจนถึงการที่นายสนธิหันมาเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามาจาก 2 เรื่องคือ เขาว่าฝากคนเป็นรัฐมนตรีคลังแล้วไม่ได้ กับการอยากได้โทรทัศน์สัก 1 ช่องมาจัดรายการก็ไม่ได้
ในสมัยที่ นายชวน หลีกภัย เป็นรัฐบาล ก็ถูกนายสนธิว่ากล่าวอย่างเสียๆ หายๆ มาแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็เชียร์ พรรคไทยรักไทย ชนิดสุดลิ่มทิ่มประตูกันเลยทีเดียว
ขนาดลงทุนเขียนหนังสือ พูดจาออกในรายการของตนเอง ชื่นชมยกย่องอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็น นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดเท่าที่ไทยเคยมีนายกรัฐมนตรีมา เชียร์พรรคไทยรักไทยจนออกนอกหน้า นี่เป็น “ความจริง” ไม่ใช่ประเภทเขาเล่าว่า หรือเขาพูดกันว่า...แต่อย่างใด
ความจริงแบบนี้...อย่างที่ “ความจริงวันนี้” นำมาบอกกล่าวให้ผู้ชมรายการได้รู้ตื้นลึกหนาบาง ผมว่าเป็นเรื่องที่แกนนำพันธมิตรฯ ต้องคิดหนักครับ แม้ลิ่วล้อจะออกมาขู่จะตัดน้ำตัดไฟหน่วยราชการ
ถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่เลวร้ายโผล่มาให้รับรู้กันอีก
ในบรรดาแกนนำนอกจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้วคนอื่นก็ไม่ธรรมดา
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง “มหา 5 ขัน” ที่ฝันและรอคอย “กระสุนนัดแรก” จากฝ่ายรัฐบาล เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการปลุกระดมว่า รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชน เดชะบุญที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลรู้ทัน ความฝันจึงต้องสลาย
นายพิภพ ธงไชย กับ นายสุริยะใส กตะศิลา ที่อ้างว่ามาจากภาคประชาชน ก็ถูก “นักกิจกรรม” ออกมาต่อต้านว่า ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย อ้างภาคประชาชนเพื่อไปล้มล้างรัฐบาล
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส. สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ จากโคราช “เมืองย่าโม” ที่ใช้ความเป็นนักชาการท้องถิ่น เรียกคะแนนจากคนยากคนจน คนที่เดือดร้อน แต่มีเป้าหมายอยู่ที่การมีอำนาจ การได้เป็นนักการเมือง
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตประธานสหภาพการรถไฟฯ สหภาพรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนบานทะโรค พยายามมีบทบาทต่อต้านรัฐบาล เพื่อจะได้มีที่ยืน หวังความเชื่อถือในฐานะที่เป็นนักสหภาพแรงงานมาข่มขู่รัฐบาล
คงจำกันได้ว่าเรื่อง ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งควรจะเป็นเรื่องที่ 2 ประเทศต้องหันหน้ามาพูดคุยแก้ปัญหากัน อย่างที่ประเทศเพื่อนบ้านควรจะทำต่อกัน และเป็นสิ่งที่เวทีโลกต้องการให้เป็นและให้เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครมายกแผ่นดินไปไหนได้ เรื่องนี้กลุ่มพันธมิตรฯ พยายามทำให้เป็นเรื่องใหญ่ พยายามประโคมข่าวออกไปทั่วโลก ให้เกิดความขัดแย้งที่จะนำไปสู่การปะทะรบพุ่งกัน
เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีข่าวเล็กๆ แต่ผมว่ายิ่งใหญ่มากในสภาพสังคมของเราในตอนนี้ คือ มีคณะครูและนักเรียน โรงเรียนอนุบาลศรีสะเกษ เดินทางไปขอดูพื้นที่ มาศึกษาสภาพ มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์
ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลศรีสะเกษ บอกว่า ที่มากันครั้งนี้เพราะนักเรียนและคณะครูให้ความสนใจมาก จึงได้พามาดูในพื้นที่ให้เห็นกับตาว่าเรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่ฝ่ายพันธมิตรฯ กล่าวอ้างและประโคมข่าวออกไปยังต่างประเทศแต่อย่างใด
คนที่น่าจะรู้สึกรู้สามากกว่าแกนนำคนอื่นๆ ของกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “บักใส” นายสุริยะใส กตะศิลา คนศรีสะเกษเหมือนกัน
ไม่อายเด็กอนุบาลบ้างหรือ
ใจผมยังเชื่อว่า การระดมพลของกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันนี้ น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ครับ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะตะแบงชุมนุมประท้วงกันต่อไปแล้ว
รัฐบาลได้ยื่นไมตรีเรียกร้องความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น ในวโรกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นการยื่นบันไดให้ก้าวลงจากเวทีที่สร้างความแตกแยกในแผ่นดิน เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง จะได้เดินหน้าไปเสียที ลงมาเถอะครับ อย่านึกว่าเป็นเรื่องเสียหน้าเสียตาอะไรเลย
โปรดใช้ปัญญาไตร่ตรอง เพื่อจะได้มองเห็นตรรกะที่ถูกต้อง
จริงอยู่...โบราณว่า “เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด” แต่สำหรับ “ผู้ใหญ่” บางคน ก็ไม่ควรเดินตาม เพราะดีไม่ดี เชื้ออัปรีย์จะมาเกาะกินง่ามนิ้ว ทำให้การเดินเหินไม่สง่างามได้...อันนี้ต้องระวัง
วันนี้...เป็นวันที่พันธมิตรฯ “เป่านกหวีด” รวมพลเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งสุดท้าย เพื่อขับไล่รัฐบาล???
วันนี้...เป็นวันคล้ายวันเกิดของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ครบ 88 ปี เหมือนกันครับ!!!
เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ...