WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, August 27, 2008

กบฏป่วนเมือง

* ปล้น NBT-บุกห้องประทับทูลกระหม่อม
กบฏพันธมิตรฯ ป่วนเมือง ทำตัวเหนือกฎหมายบุกยึดทำลายข้าวของสถานที่ราชการ ใช้มีดสปาร์ต้าจ่อคอผู้ดำเนินรายการวิทยุ 97.0 เมกะเฮิร์ตซ์ แถมไล่ส่ง 3 ผู้ประกาศสถานีโทรทัศน์ NBT ขณะที่ “กิตติ สิงหาปัด” แวะไปดูยังโดนม็อบรุมทำร้าย พบทรัพย์สินเสียหายย่อยยับ ทั้งถูกทุบทำลาย ตัดสายไฟอุปกรณ์สื่อสาร มีพฤติกรรมยิ่งกว่าโจรบุกค้นทรัพย์สิน ขโมยของหลวงไปหลายรายการ มิหนำซ้ำไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เข้ารื้อค้นห้องประทับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ กระจุยกระจาย เผยพยายามเชื่อมสัญญาณ ASTV แต่ไม่สำเร็จ “สมัคร” เตือนความอดทนรัฐบาลใกล้ถึงที่สุด
หลังจากชุมนุมยืดเยื้อมากกว่า 90 วัน ในที่สุดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เผยธาตุแท้ในการจงใจสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง โดยเลือกเอาวันที่ 26 สิงหาคม 2551 ปฏิบัติการดาวกระจายบุกเข้ายึดสถานที่ราชการหลายแห่ง สร้างความเดือดร้อนและความเสียหายไปทั่ว ซ้ำร้ายยังมีพฤติกรรมไม่ผิดไปจากโจรกบฏ

ม็อบถ่อยบุกยึดวิทยุ-โทรทัศน์
จากนั้น เวลา 13.45 นักรบศรีวิชัยได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่บริเวณเชิงสะพานอรทัยพังรั้วข้ามสะพานอยู่บริเวณปากทางถนนทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ด้านประตู 1 เตรียมที่จะบุกทำเนียบรัฐบาลจากทุกทิศทาง
ทั้งนี้หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวได้บุกเข้ามา ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก ตปพ.จำนวน 1 กองร้อยที่ดูแลความปลอดภัยอยู่ภายในทำเนียบเตรียมพร้อม พร้อมกับนำโซ่มาคล้องประตูรั้วทำเนียบเพื่อปิดทางเข้าสู่พื้นที่ทำเนียบชั้นใน
การกระทำอุกอาจของกลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มต้นขึ้นด้วยการบุกยึดสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ย่านถนนวิภาวดี – รังสิต เมื่อช่วงเวลา 05.30 น.ของวันที่ 26 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์ ร่วม 100 คนแต่งตัวคล้ายนักรบศรีวิชัย สวมแจ็กเกตสีดำ ใช้ผ้าปิดหน้า และมีผ้าสีเหลืองซึ้งมีข้อความว่า “กู้ชาติ” โพกศรีษะ บุกเข้ามาภายในตัวอาคารสำนักงานของสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ทำลายข้าวของ ทำลายกระจกประตูจนเกิดความเสียหายหลายบาน
กลุ่มคนดังกล่าวพยายามที่จะเข้ามาควบคุมเจ้าหน้าที่ของสถานี และใช้วาจาหยาบคายในการสั่งการห้ามออกอากาศโทรทัศน์ พร้อมทั้งไลนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ นางสร้อยฟ้า โอสุคนทิพย์ และนางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการอยู่ในขณะนั้นออกจากสถานี และมีการกระจายกำลังไปยังทุกชั้นของตึก
ในขณะที่ตึกด้านในซึ่งเป็นส่วนงานวิทยุ ก็มีกำลังอีกส่วนหนึ่งบุกเข้าไป ระหว่างที่นายสุคนธ์ ชัยอารีย์ กำลังดำเนินรายการทางสถานีวิทยุ 97.0 MHz โดยเอามีดจี้คอใหหยุดดำเนินรายการ

เยี่ยงโจร-มีดจ่อคอผู้จัดรายการ
นายสุคนธ์ ชัยอารีย์ ซึ่งถูกใช้อาวุธจี้ตัว เปิดเผยว่าก่อนหน้าที่ตนจะเข้าไปดำเนินรายการ “คุยข่าว 97” ได้มีเพื่อนๆ โทร.มาแจ้งไม่ให้ไปดำเนินรายการ เนื่องจากได้ข่าวมาว่าจะมีการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง หรือว่าจะเกิดการปฏิวัติ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สังเกตเห็นว่าได้มีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเข้ามาสังเกตการณ์และตรวจสอบบุคคลที่จะเข้าออกสถานี
ได้เริ่มจัดรายการตั้งแต่เวลาประมาณ 04.30 น. จนกระทั่งเวลาประมาณ 05.00น. จู่ๆ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้ามาเป็นจำนวนมาก ได้มีการโพกผ้าปิดหน้าตาและมีการพูดจาเป็นภาษาใต้กันอยู่ตลอด เข้ามาบังคับให้ตนปิดการดำเนินรายการ
“พวกมันมาเหมือนโจร เอาผ้าปิดหน้า และมีอาวุธครบมือ ไม่ว่าจะเป็นกระบอง ปืน ใบกระท่อม โดยหนึ่งในชายฉกรรจ์ได้ใช้มีดลักษณะด้ามยาวที่เรียกว่า มีดสปาร์ต้ามาจี้ตนเพื่อบังคับให้ตนออกไปรวมตัวกับเจ้าหน้าที่อื่นๆ ตนก็ได้พูดคุยกับชายฉกรรจ์เป็นภาษาใต้ว่าทำทำไม เขาก็บอกว่าคนใต้ขายชาติ รับใช้ทักษิณ”นายสุคนธ์กล่าว

ครบเครื่องทั้งอาวุธ-ยาเสพติด
ซึ่งเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวกลุ่มพันธมิตร ที่บุกเข้าไปภายในได้จำนวน 80 คน โดยทั้งหมดเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ 78 คน หญิง 2 คน พกพา อาวุธมีดดาบขนาดยาว ปืน 11 มม. พร้อมมีดพก หนังสติ๊ก ไม้กอล์ฟ และใบกระท่อมจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งหมดไปดำเนินคดีที่ สน.สุทธิสาร
ทั้งนี้พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้ตั้ง 4 ข้อหา ได้แก่ มีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มียาเสพติดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำให้เสียทรัพย์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปควบคุมไว้ที่กองบัญญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จ.ปทุมธานี และนำตัวมาสอบสวนที่โรงเรียนพลตำรวจ บางเขน
อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวอ้างจากแกนนำพันธมิตรฯ ว่าไม่ใช่คนของพันธมิตรฯ แต่เป็นมือที่สาม ซึ่งขัดแย้งกับท่าทางของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำม็อบ ที่อ อกมาประกาศกร้าวให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด

คนใกล้ชิด “ใส” นำม็อบถล่มNBT
ทั้งนี้ในจำนวนผู้ที่ถูกจับกุมจากการบุกรุกทำลายทรัพย์สินใน NBT พบว่ามีชื่อของนาย นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ รองผู้ประสานงานพันธมิตรฯ รวมอยู่ด้วย ซึ่งบทบาทของนายนิติรัตน์ก็คือการเป็นผู้ช่วย นายสุริยะใส กตะศิลา นั่นเอง และยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการวางรูปแบบม็อบ และการเคลื่อนไหวในแต่ละครั้ง
นายนิติรัตน์ อยู่ในสังกัดกลุ่มเพื่อนประชาชน ที่ทำงานร่วมกับ ครป. ของนายสุริยะใสมาตลอด โดยในปี 2536 นายนิติรัตน์ เป็นรักษาการเลขาฯ สนนท. เป็นรุ่นพี่ของนายสุริยะใส โดยเข้ามามีส่วนร่วมกัยกลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งแต่เริ่มต้น ปัจจุบันมีครอบครัวแล้วโดยสมรสกับนักข่าวสายทำเนียบรัฐบาลเครือเนชั่น และมีลูกแล้ว 1 คน
ส่วนอีกคนคือนายนัสเซอร์ ยีหมะ เคยเป็นรองเลขาฯ สนนท.ปี 2539 เป็นเอ็นจีโอ ที่ทำงานด้านสลัม และเป็นกลุ่มก๊วนเดียวกับนายสุริยะใส และนายนิติรัตน์ หน้าที่ชัดๆ ในกลุ่มพันธมิตรฯ ก็คือการเป็นหัวหน้าการ์ด

ชี้ความผิดแกนนำเข้าข่ายกบฏ
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินคดีกับทุกคนที่เข้าไปในรั้วเอ็นบีที แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่เข้าไปในอาคารสถานที่ทำลายสิ่งกีดกั้น สั่งการให้เจ้าหน้าที่เอ็นบีทีหยุดออกอากาศ คุกคามการทำงานของสื่อมวลชน และพยายามยึดสถานีเพื่อจะทำการสื่อสารถึงประชาชนเพื่อประกาศสิ่งหนึ่งสิ่งใด เหมือนกับที่เคยมีการปฏิวัติในอดีต
ส่วนความผิดของแกนนำที่มีการสั่งการให้บุกรุกสถานที่ราชการ คุกคามสื่อมวลชน และจ้องล้มล้างรัฐบาลนั้น เป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงชัดเจน ถือว่าเข้าข่ายความผิดกบฏ และพิจารณาว่าจะดำเนินคดีกับกลุ่มแกนนำอย่างไรต่อไป
พร้อมกันนี้ยังกล่าวด้วยว่าการที่แกนนำพันธมิตรฯ ประกาศว่าจะชุมนุมโดยสงบ และอ้างมาตรา 63 มาโดยตลอดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่เป็นความจริง

ตั้งสถานีพลัดถิ่นสู้เชื่อมNBT
ขณะที่วีรกรรมอันธพาลของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังไม่จบสิ้น โดยในเวลาต่อมาก็ได้มีรถบัส 2 คัน ขนคนเข้ามาร่วมการชุมนุมเพิ่มเติม พร้อมรถกระบะอีก 8 คัน ร่วมกันปิดล้อมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กว่า 1,000 คน โดยมีนายอมร อมรรัตนานนท์ และนายวัชระ เพชรทอง เป็นแกนนำการชุมขุม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด โดยมีการนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณทางเข้าออก
แต่กลุ่มผู้ชุมนุม ก็พยายามที่จะเข้ามาภายในสถานีให้จงได้ จากนั้นก็มีการยื้อยุดระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุม บริเวณหน้าประตูทางเข้า แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้านกำลังไว้ไม่ไหว เป็นเหตุให้กลุ่มผู้ชุมนุมพังประตู และวิ่งกรูเข้ามาภายในอาคารสำนักงาน ทำให้การออกอากาศรายการข่าวเช้าของทางสถานีต้องชะงักกลายเป็นจอมืดไปในทันที
โดยนายอมร ได้ประกาศว่าจะเข้ามาออกอากาศให้ได้ และมีความพยายามที่จะเชื่อมสัญญาณจากสถานีเอเอสทีวีแต่ไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ดีท่ามกลางความพยายามเข้าไปเชื่อมสัญญาณที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ทางเอ็นบีที ก็มีการเปิดสถานีพลัดถิ่นกระจายอยู่ในจุดต่างๆ ที่ไม่มีการเปิดเผย เพื่อให้รอดจากการก่อกวนของกลุ่มพันธมิตรฯ

"กิตติ" ผิดคิวโดนพันธมิตรรุม
ขณะที่ในช่วงเวลาที่ยังคงชุลมุน นายกิตติ สิงหาปัด พิธีกรรายการ "ข่าว 3 มิติ" ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ได้เดินเข้าไปในลานหน้าอาคารเอ็นบีที ทำให้ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ ล้อมกรอบ
โดยนายกิตติ เปิดเผยว่า เนื่องจากทุกวันอังคารจะไม่มีรายการข่าว 3 มิติ ตนจึงว่างและไม่ต้องเตรียมตัวประชุมข่าว เมื่อเห็นข่าวพันธมิตรฯ บุกเข้าไปยึดสถานีโทรทัศน์ NBT จึงแต่งตัวออกจากบ้านเพื่อมาสังเกตการณ์ เพราะบ้านอยู่ไม่ไกลกับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีมากนัก และระหว่างที่ไปยืนดูสถานการณ์อยู่นั้น ได้มีผู้หญิง 2-3 คน ในกลุ่มผู้ชุมนุมที่จำตนได้ ก็มาขอจับไม้จับมือ คล้องแขน และขอถ่ายรูป คนอื่นๆ เห็นก็มาขอถ่ายรูปด้วย จนวงก็เริ่มกว้างขึ้นจาก 2-3 คน กลายเป็น 7-8 คน ซึ่งอาจทำให้คนที่อยู่ข้างนอกสงสัยว่า วงที่กำลังถ่ายรูปกันนั้นมีอะไรเกิดขึ้น อาจจะคิดว่ามีใครเข้ามาป่วนในม็อบ จึงเริ่มส่งเสียงโห่แล้วหันมาทางตน ตอนนั้นการ์ดของพันธมิตรฯ คงจะเห็นท่าไม่ดีจึงคล้องแขนเข้ามากันตนออกไป ยิ่งทำให้คนในม็อบคิดว่าการ์ดจะทำร้ายตน จึงได้กรูกันเข้ามา มีหลายคนพยายามต่อยผ่านวงล้อมของการ์ด โดนบ้าง ไม่โดนบ้าง แต่ที่โดนเต็มๆ มี 3 หมัด ไม่ได้เจ็บมาก เพราะการ์ดกันอยู่

ม็อบถอนกำลังร่วมชุมนุมทำเนียบ
ขณะเดียวกันการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังเคลื่อนตัวไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณการชุมนุมอยู่แล้ว รวมทั้งเคลื่อนไปที่กระทรวงการคลัง ซึ่งส่งผลให้การจราจรบนถนนพระราม 6 ติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พบว่ามีความรุนแรง
ขณะที่อีกจุดหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือที่ทำเนียบรับาล ซึ่งม็อบได้เข้ามาปิดล้อมประตูทุกด้าน ตั้งแต่เวลา 05.00 น. และจนกระทั่งช่วงสายจึงได้มีความพยายามพังประตูเข้ามาปักหลักชุมนุมอยู่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยให้เป็นเวทีเปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาล
ซึ่งต่อมาหลังจากที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงเด็ดขาดให้ม็อบถอนตัวจากสถานที่ราชการ ไม่เช่นนั้นจะจัดการขั้นเด็ดขาด ก็เป็นผลให้ม็อบในจุดต่างๆ พากันถอนตัวและมาร่วมสมทบการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยังคงท้าทายเส้นตายของรัฐบาลที่กำหนดไว้ในเวลา 18.00 น.

บุกค้นห้องประทับทูลกระหม่อม
อย่างไรก็ดีหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมถอนตัวออกจากสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที พบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างมาก ทั้งข้าวของโดยเฉพาะกระจกถูกทุบทำลายเสียหายหลายจุด
ที่เก็บของของพนักงานถูกรื้อค้นเอาของมีค่าไปจำนวนไม่น้อย และกระเป๋าของพนักงานสูญหายไปหลายใบ รวมทั้งจอคตอมพิวเตอร์แบบ แอลซีดี สูญหายไปหลายชิ้น
รวมทั้งยังมีการเข้าค้นห้องประทับของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ ที่ใช้ประทับในเวลาเสด็จจัดรายการ ทูบีนัมเบอร์วัน ซึ่งปกติห้อิงดังกล่าวจะไม่มีใครเข้าไปใช้ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นการมิบังควร
นอกจากนี้หลั้งจากม็อบถอนกำลังออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคงตรึงกำลัง และเข้าตรวจค้นระเบิดโดยละเอียด และยังไม่อนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าทำงาน ซึ่งพบว่าในส่วนของงานวิทยุ ยังเกิดความเสียหายกับอุปรกรณ์ในการออกอากาศด้วย

ผู้นำเหล่าทัพยืนยันไม่มีปฏิวัติ
ในขณะที่การประชุม ครม. ได้ย้ายไปประชุมที่กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เนื่องจากไม่สามารถเดินทางเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลได้เพราะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนกำลังคนมาปิดล้อมประตูทางเข้าทำเนียบตั้งแต่ช่วงเช้า
ส่วนบรรยากาศการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ย้ายสถานที่ไปอยู่ที่กองบัญชาการทหารกองทัพไทย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันตรงกันว่า ทหารจะไม่ปฏิวัติ เพราะมีบทเรียนมาแล้วจากเหตุการณ์ 19 กันยายน ส่วนสถานการณ์ขณะนี้ ยังไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเหตุการณ์ยังไม่สุกงอม
เช่นเดียวกันกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เดินทางออกจากบ้านพักรับรองตั้งแต่เช้า พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการทำการปฏิวัติอย่างแน่นอน