คอลัมน์ : คุยเฟื่องเรื่องเศรษฐกิจไทย
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ฉบับนี้ขอบรรยายเกี่ยวกับปัจจัยข้างเดียวที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบทางเศรษฐกิจเสียหน่อยครับ เพราะมีอยู่หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นแบบว่าจงใจกระทำ แต่อ้างว่าอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องของความคิดบ้าง บางครั้งก็เกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจบ้าง เพราะคิดไม่ถึง หรือไม่ก็ไม่มีสัญญาณใดๆ บอกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้นๆ หรือบางครั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร สิ่งที่ได้กระทำไปนั้นไม่ว่าจะด้วยจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนไทยทั้งนั้น ผู้เขียนก็ขอเริ่มจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1.ปัจจัยทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีผลต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อาทิ การประกาศลี้ภัยทางการเมืองของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลมากมายหลายร้อยเหตุผลเพื่อสยบกำลังต้านของฝ่ายตรงข้าม เป็นเหตุให้ตัวเลขดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดีดตัวขึ้นกว่า 700 จุด ซ้ำยังได้สร้างความประหลาดใจให้แก่นักลงทุนทั้งไทยและทั้งเทศเลย หลายๆ คนก็รับทรัพย์กันถ้วนหน้า แต่ที่แน่ๆ ไอ้คำว่า มวยล้มต้มคนดู ก็ปรากฏขึ้นให้เห็นในกรณี Gang of 4 ที่ประกอบไปด้วย คุณสมัคร สุนทรเวช คุณธีรพล นพรัมภา คุณเนวิน ชิดชอบ คุณสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ทั้ง 4 คนตั้งป้อมจัดการบริหารการจัดโผรัฐมนตรีอยู่ที่ตึก King Power
โดยที่มีกระแสข่าวออกมาว่าทั้ง 4 คนนั้นทำท่าว่าจะเป็นกบฏต่อนายใหญ่ และกระแสข่าวก็หนาหูไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็มีกลุ่ม ส.ส. พรรคพลังประชาชน กลุ่มอีสานพัฒนา ก็ออกมาแถลงข่าวถล่มกลุ่มคนเนรคุณกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะแฉเรื่องสกปรกต่างๆ ที่เกี่ยวกับการโกงกิน จนแย่งพื้นที่ข่าวหน้าหนึ่งได้ทุกฉบับ ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคพลังประชาชน (ผู้เขียนหมายถึงประชาชนที่เป็นแนวร่วม) ก็โห่ร้องดีใจ และฝ่ายที่เป็นแฟนคลับของพรรคพลังประชาชนก็มีสีหน้าห่อเหี่ยวไปตามกัน แต่ก่อนหน้านี้ แฟนคลับของทั้ง 2 กลุ่มตีกันเกือบตาย
ทั้งที่อุดรธานี และบุรีรัมย์ จนเป็นเหตุให้หลายๆ คนต้องไปนอนโรงพยาบาล บางคนถูกจับไปนอนเล่นที่โรงพัก สื่อทุกชนิดตีแผ่เรื่องราวการทะเลาะกันของคนไทยไปทั่วโลก งานนี้เสียหน้าเป็นอย่างมากสำหรับเรื่องความสามัคคี ท้ายที่สุดสื่อก็จับได้ว่าหนังสือแถลงการณ์ดังกล่าวมีเบอร์โทรศัพท์มาจากกรุงเทพฯ นี่เอง ไม่ได้มาจากอังกฤษโดยตรงอย่างที่ทุกคนรอคอย หมายความว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการวางแผน ที่วางไว้ก่อนล่วงหน้าทั้งสิ้น และการที่ตลาดหุ้นกระเตื้องขึ้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเกินความคาดหมายครับ ผู้เขียนประเมินว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์นี้รับทรัพย์อันเนื่องมาจากราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น และมากพอที่จะเก็บไว้เผื่อเลือกตั้งครั้งหน้า อย่างน้อยก็ค่าใช้จ่ายสำหรับ ส.ส. 30-50 คน ก็แล้วกัน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการแถลงข่าวลาออกจากการร่วมรัฐบาลของหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน นี่ก็เป็นเรื่องของมวยล้มต้มคนดูเหมือนกันครับ ที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะว่า วันที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ แถลงข่าวประมาณ 17.00 น. ว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ไม่กี่ชั่วโมงถัดมามีการรวมกลุ่มของแกนนำที่ไม่เห็นด้วยกับคำแถลง ก็ออกมาตอบโต้บอกว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่หัวหน้าพรรคพูด พอถึงเที่ยงคืนสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ พรรคเพื่อแผ่นดินยังร่วมเหมือนเดิม
สุดท้ายหัวหน้าพรรคก็ยังเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม ณ ปัจจุบัน เพียงแต่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเท่านั้นเอง ท่านผู้อ่านครับ ผลจากการกระทำครั้งนี้จะด้วยความตั้งใจหรือความหวังดีก็แล้วแต่ครับ ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ตกครับ ความเชื่อมั่นของประชาชนในชั่วขณะนั้นหดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะคำแถลงครั้งนี้อาจจะนำไปสู่ชนวนของความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น เพราะมีแนวร่วมคัดค้านการเป็นรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนเพิ่มขึ้น
2.ปัจจัยการบริหารเรื่องพลังงาน วันนี้ดูเหมือนสับสนมากๆ เลยครับ ฟากกระทรวงพลังงานซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลเรื่องพลังงานโดยตรง ส่งผ่านมายัง ปตท. ที่รัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด วันนี้เรามีพลังงานทางเลือกทั้ง LPG CNG ก๊าซโซฮอล์ E10 E20 E85 และไบโอดีเซล B5 แต่นโยบายก็ยังไม่ชัดเจนสักอย่างเลยครับ เหมือนกับเปิดหัวแล้วเรื่องที่เหลือประชาชนไปทำเอาเอง เหมือนๆ กับลอยแพนั่นแหละครับ
เริ่มจากเรื่องของมวยล้มต้มคนดูเรื่อง LPG และ CNG ก่อนครับ รัฐบาลต้องการส่งเสริมการใช้ CNG มากกว่า LPG สำหรับภาคขนส่ง แต่ในเวลาเดียวกันกลับไม่ได้สร้างความสะดวกในการใช้งานให้แก่ประชาชนเลย วันนี้ใครก็ตามที่เลือกใช้ CNG ในการเติมรถยนต์แทนน้ำมัน ทุกคนช้ำใจหมดครับ เพราะเวลาก๊าซหมดต้องไปรอต่อคิวกันเป็นชั่วโมงๆ ครับ ด้วยเนื่องจาก CNG เวลาเติมแล้วจะทำให้รถวิ่งได้เพียงครึ่งเดียวของการเลือกใช้ระบบ LPG
ดังนั้นจึงทำให้ผู้ใช้ CNG ต้องวิ่งเข้าเติมรถบ่อยกว่ารถยนต์ที่ใช้ LPG และแถมเวลาเติม LPG ไม่ต้องรอ ไม่ใช้เวลานาน ปั๊มที่จะให้บริการมีมาก กระจายไปทั่ว ไม่ต้องเป็นของ ปตท. อย่างเดียว มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงครับ ในเมื่อ ปตท. บอกว่าจะเป็นผู้ให้บริการ CNG แต่เพียงผู้เดียวด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผู้เขียนในฐานะประชาชนคนหนึ่งก็พอรับได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ต้องเร่งบริการ CNG ให้ทั่วถึงให้ได้ คนเขาจะได้กลับมาเติม CNG ตามนโยบาย แต่ที่ไหนได้การขยายปั๊มก็ล่าช้า แถมขยายน้อยเสียอีก คำถามก็คือในเมื่อทำไม่ทันแล้วทำไมไม่กระจายให้เอกชนเขาช่วยทำด้วย หรือเห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัท ปตท. เป็นตัวตั้ง แล้วผลประโยชน์ของประชาชนมาทีหลัง นโยบายและปากของผู้บริหารก็พูดว่า ปตท. เป็นของประชาชน แต่ทำไมวิธีปฏิบัติออกมาเป็นแบบนี้ หรือมีผลประโยชน์อะไรปิดบังซ่อนเร้นอยู่ จึงทำให้ประสิทธิภาพของการสนับสนุนการใช้ CNG มันไม่มีประสิทธิภาพเลย ปล่อยให้ชาวบ้านเขามีความหวังแล้วก็เป็นความหวังที่มากพอที่จะรอให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ
ในส่วนของก๊าซโซฮอล์ ตกลงว่าจะเป็น E85 จริงหรือเปล่า เพราะคนกว่า 40 ล้านคน ที่เป็นเกษตรกร กำลังรอความหวังจากการส่งเสริมการใช้อยู่ในขณะนี้ ผู้เขียนหมายถึงชาวไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย เขาก็รอความหวังของนโยบายนี้อยู่ ท่านผู้อ่านครับ ตั้งแต่น้ำมันแพงมานี่ผู้เขียนเห็นว่ามีหลายชีวิตมีคุณภาพชีวิตลดลง แต่อีกกว่า 40 ล้านคนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นครับ เพราะราคาพืชผลการเกษตรได้ราคางามกันถ้วนหน้า พอได้ใช้หนี้ใช้สินกัน ดังนั้นพวกเราคนไทยต้องมีส่วนเลือก ตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไร เลือกตั้งครั้งหน้าเกษตรกรและประชาชนคนไทยครับ ถ้าพรรคการเมืองใดเสนอ E85 เป็นวาระแห่งชาติขอให้ช่วยกันเลือกเลยครับ เพราะแนวโน้มน่าจะช่วยส่งเสริมให้คนจนของไทยลดลง อย่างน้อยก็ขายพืชผลได้ราคาครับ
ส่วนเรื่องการลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ จะมีผลต่อโรงกลั่นน้ำมันช่างหัวมัน ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของธุรกิจเถอะครับ เพราะมีคนอยู่ไม่กี่คนได้รับผลประโยชน์ แต่ที่รู้ๆ นโยบายสนับสนุน CNG และ E85 ยังเป็นนโยบายประแป้งให้หน้าขาว เพื่อต้มคนดูให้ดีใจ
ดร.ญาณกร แสงวรรณกูล