WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, December 3, 2008

แด่เมืองอันดับ 7

ที่มา ประชาทรรศน์

คอลัมน์ : คิดในมุมกลับ

โดย ปฏิญา ยอดเมฆ

ความรู้สึกบอกว่าเพิ่งผ่านไปไม่นานนี้เองที่ “กรุงเทพมหานคร” ได้รับการโหวตจากนิตยสารท่องเที่ยวในต่างประเทศให้เป็นเมืองน่าอยู่น่าเที่ยวอันดับ 1 ของโลก แล้วเช้าวันนี้กรุงเทพฯ และเมืองไทยก็ “โด่งดัง” อีกระลอก เมื่อหนังสือพิมพ์ในอังกฤษจัดให้อยู่อันดับ 7 ของโลก เพียงแต่เป็นอันดับของประเทศที่ “อันตราย” ที่สุดในโลก ซึ่งทางการอังกฤษประกาศเตือนพลเมืองของเขาไว้...

อันดับ1-6 นั้นได้แก่ อิรัก อัฟกานิสถาน เชชเนีย แอฟริกาใต้ จาเมกา ซูดาน... ส่วน อินเดีย ที่กลุ่มก่อการร้ายเพิ่งวางระเบิดโรงแรมจนนักท่องเที่ยวตายเกือบ 200 คนนั้น รั้งอยู่ตั้งอันดับที่ 17 แปลว่าจากการวิเคราะห์ของทางการอังกฤษ อินเดียที่มีผู้ก่อการร้ายก็ยังปลอดภัยกว่าประเทศไทยเยอะ...

เหตุผลที่ไทยติดอันดับสูงขนาดนั้น รายงานข่าวเล่าว่าเป็นผลพวงจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำไปสู่การปิดถนนสายสำคัญของเมืองหลวง อย่าง ถ.ราชดำเนิน มีการปิดล้อมและบุกยึดสถานที่สำคัญของราชการและของประเทศ ได้แก่ ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา สถานีโทรทัศน์ของรัฐ ที่ทำการตำรวจนครบาล และสดๆ ร้อนๆ ก็คือ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง อันเป็นเส้นเลือดสำคัญในการติดต่อกับต่างชาติ

การมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดใน “เมืองหลวง” ซึ่งไม่เพียงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแต่ยังเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองและความมั่นคง จึงไม่แปลกที่ใครจะมองว่ามัน “อันตราย” ผลกรรมจากสิ่งนี้จึงตกอยู่ที่ “ประชาชนไทย” อย่างเราๆ ท่านๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการธุรกิจด้านต่างๆ ที่โดนผลกระทบเป็นอันดับแรกๆ แต่ต่อไป (ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะฟื้นฟูภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือได้ก็อีกหลายปี) ผลร้ายทางเศรษฐกิจจะกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ คนตกงาน ขาดกำลังซื้อ พ่อค้าแม่ขายที่เล็กเหมือนปลาซิวปลาสร้อยอยู่แล้วก็ยิ่งไร้ความหวัง (ต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่สมัยรัฐประหาร 19 กันยายน 2549) นี่คือสิ่งที่รัฐบาลจะต้องหาทางเยียวยาให้ได้ในเร็ววัน

ไม่ต้องถามหาว่า “ใคร” ควรรับผิดชอบ เพราะพี่น้องประชาชนรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นฝีมือของใครบ้าง ไม่ใช่แค่ “ทุกคน” ในกลุ่มพันธมิตรฯ ที่จะถูกจารจำไว้ในฐานะผู้ก่อเวรสร้างกรรมกับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ แต่ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังผู้หนุนหลังให้ท้ายใครก็แล้วแต่ ควรโดน “หมายหัว” ไปด้วย

คนเหล่านั้นคงลืมไปแล้วว่า ในประเทศที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ก็มาจากฝีมือประชาชนที่ถูกกดขี่ทำร้ายและทำให้ไร้ทางออกมาเป็นเวลานานแล้วทั้งนั้น...