ที่มา ประชาทรรศน์
สวัสดีวันจันทร์
“...สาวกพันธมิตรฯ ที่มาชุมนุมกันเป็นเวลานานแล้วนั้นเป็นพวกรับข้อมูลข่าวสารด้านเดียวคือรับจาก ASTV และเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ ซึ่งได้แก่ข้อมูลอันเดียวกันนั้นเอง เมื่อรับข้อมูลด้านเดียวเป็นเวลานานก็เกิดความเชื่อจนกลายเป็นศรัทธา แล้วปิดหู ปิดตา ไม่ยอมรับข่าวสารด้านอื่นจากใครอื่นอีก...”
เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศทำสงครามครั้งสุดท้ายและเคลื่อนกำลังเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่สนามบินดอนเมืองและยึดสนามบินสุวรรณภูมิทำให้เครื่องบินโดยสารและขนส่งสินค้าขึ้นลงไม่ได้ รูปการมันก็กลายจากการชุมนุมทางการเมืองเป็นกบฏและเป็นการก่อการร้ายสากลขึ้นมา
รัฐบาลเลือกตั้งของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงใน 2 พื้นที่ดังกล่าวนั้นตามอำนาจใน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นหัวหน้าจัดการกับสนามบินดอนเมือง ผู้บัญชาการตำรวจภูธร 1 เป็นหัวหน้าจัดการกับสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของทั้งสองผูบัญชาการตำรวจ
คนไทยก็พอจะคลายใจได้ว่าสภาพอนาธิปไตยจะคลี่คลายสลายลงตามลำดับ แต่ปรากฏว่าการหาเป็นเช่นนั้นไม่ แกนนำพันธมิตรอหังการ์ท้าทายกฏหมายโดยเรียกร้องให้ประชาชนไปชุมนุมกันมากขึ้น ประกาศจะยึดสนามบินอู่ตะเภาเป็นแห่งต่อไปและยังสั่งการให้การ์ดของพวกตนยิงสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีหากมีการตรวจค้นจับกุม
ทางรัฐบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจากพล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ เป็น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ด้วยหวังว่าการดำเนินงานด้านตำรวจจะมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น แต่ผลจะเป็นประการใดนั้นยังไม่อาจประเมินได้ในวันนี้
ว่าตามจริงเมื่อรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามธรรมดาผู้ชุมนุมก็ต้องมีความตระหนกตกใจบ้างไม่มากก็น้อย แต่ปรากฏว่าพันธมิตรที่ยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิต่างมิได้รู้สึกตื่นเต้นกันเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้สาเหตุประการหนึ่งน่าจะได้แก่การไม่รับทราบข่าวสารใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่รู้หรือมืดบอด
สาวกของแกนนำพันธมิตรที่มาชุมนุมกันเป็นเวลานานแล้วนั้นเป็นพวกรับข้อมูลข่าวสารด้านเดียวคือรับจาก ASTV และเวทีปราศรัยของพันธมิตร ซึ่งได้แก่ข้อมูลอันเดียวกันนั้นเอง เมื่อรับข้อมูลด้านเดียวเป็นเวลานานก็เกิดความเชื่อจนกลายเป็นศรัทธา แล้วปิดหู ปิดตา ไม่ยอมรับข่าวสารด้านอื่นจากใครอื่นอีก
แม้แต่ข้อมูลข่าวสารที่ทางราชการประกาศให้ออกไปเสียจากการชุมนุม เพราะการปิดสนามบินทั้ง 2 แห่งทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของชาติมหาศาลสุดคณานับและเป็นความผิดทางกฏหมาย รัฐบาลจำเป็นต้องสลายการชุมนุม คนพวกนี้ก็หาทราบและหาเข้าใจต่อความหมายที่แท้จริงไม่
การ์ดของพันธมิตรยังเตรียมการต่อสู้กับกำลังตำรวจและกำลังทหารอย่างไม่ลดละ ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ ก็พอดีมีข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญว่า คดีที่พรรคการเมือง 3 พรรคซึ่งร่วมเป็นรัฐบาลอยู่ได้ถูกกกต. ยื่นร้องขอให้ยุบพรรค ได้แก่ พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย โดยที่พรรคทั้ง 3 ได้ยื่นข้อต่อสู้และเตรียมพยานหลักฐานสนับสนุนไว้มากแต่เรื่องคาราคาซังมานานพอสมควรแล้วนั้น กลับปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รวบรัดตัดความจะมีการปิดคดีในวันที่ 2 ธันวาคมนี้แล้ว
การไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาทั้ง 3 พรรคได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ โดยอ้างว่ามีหลักฐานมากเพียงพอที่จะตัดสินคดีได้แล้ว เป็นพฤติการณ์ที่ผิดสังเกตุและชวนให้สงสัยว่าจะมีการตั้งธงเพื่อโค่นล้มรัฐบาลโดยวิธีการใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือ แท้จริงแล้ว การกระทำเหล่านี้ล้วนถูกเขียนบทและกำกับการแสดงเป็นขั้นเป็นตอนของเหล่าอมาตยาธิปไตยเพื่อจะทำประเทศไทยไปสู่การเมืองใหม่ที่พวกเขากำหนดขึ้น โดยไม่อินังขังขอบกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศกันเลย
ความข้อนี้ตรงกับบทความของนายชอน คริสปิน บรรณาธิการของเอเชียไทม์ออนไลน์ของฮ่องกงที่ตีพิมพ์ภายใต้ชื่อ ‘เสียงกระซิบเรื่องตุลาการภิวัฒน์ในไทย’ โดยที่เอเชียไทม์ออนไลน์นี้มีความเกี่ยวพันกับบ.แมนเนเจอร์ มีเดีย กรุฟ อันโด่งดังซึ่งเพิ่งถูกศาลสั่งล้มละลายไปเมื่อไม่กี่วันมานี้
บทความชิ้นนี้ระบุว่า ประเทศไทยจะมีสภาสูงสุดที่มีสมาชิก 9 คน มีน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธาน และเป็นนายกรัฐมนตรี
การรวบรัดตัดสินคดียุบพรรคการเมืองก็คือ การทำรัฐประหารรูปแบบหนึ่ง ซึ่งซ่อนรูปมาเพื่อการนี้ ท่านผู้อ่านจะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เคยเรียกประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นแล้วมีมติเสนอให้นายกรัฐมนตรียุบสภามาแล้ว
ด้วยเหตุที่เรียบเรียงมาให้เห็นนี้ ข้าพเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้จัดรายการ ‘ความจริงวันนี้’ ของสถานีโทรทัศน์ NBT จึงได้ปรึกษากับพรรคพวกประชาชนคนเสื้อแดงซึ่งเราได้เคยชุมนุมใหญ่กันมา 3 ครั้งแล้ว พอที่จะเข้าใจในอุดมการณ์และทิศทางการทำงาน โดยเฉพาะการต้านรัฐประหารทุกรูปแบบจึงตัดสินใจนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้สนามหน้าที่ว่าการ กทม. ที่เรียกกันว่า ลานคนเมือง เป็นที่ชุมนุม
เหตุที่ต้องใช้ลานคนเมือง ก็เพราะว่าสนามหลวงอันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดนั้นได้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้ว ดังที่ได้เคยจัดทุกปีมา
พวกเราเป็นประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว เมื่อทราบเรื่องจึงตัดสินใจย้ายสถานที่ชุมนุมโดยทันที
ความจำเป็นมีดังนี้ การชุมนุมคนเสื้อแดงต้านรัฐประหารและแสดงพลังสนับสนุนการจัดการกับเหล่าอนาธิปไตยที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ในวันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน จึงมีอันต้องย้ายไปยังสถานที่ที่มีความคับแคบกว่า แต่เนื้อหาสาระและเป้าหมายของงานยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ถึงวันนี้ ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นแล้วว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีผลออกมาในลักษณะใด จะชุมนุมกันไปยืดเยื้อหรือวันเดียว สองวันเลิกจะช่วยรักษาบ้านรักษาเมืองไว้ได้หรือไม่ ก็ยังไม่ทราบ
ทั้งนี้สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดครับ