ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย*อัฐศิริ*
ไม่ต้องแปลกใจ ที่ผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ ยุติการชุมนุมลงชั่วคราว เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ยุบ 3 พรรคร่วมรัฐบาล เพราะนั่นเป็นธงที่ปักไว้แล้ว จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า ซากเดนทรราช ลิ่วล้อเผด็จการและอำมาตยาธิปไตย สามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วนำ “การเมืองใหม่” มาใช้ให้ได้
แม้จะถูกขัดขวางโต้แย้งว่า ขัดกับหลักการประชาธิปไตย ก็ตาม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ถือเป็นความเจ็บปวดของการเมืองไทย และเป็นความด่างพร้อยของแวดวงของกฎหมาย ใครจะอ้างอะไรก็อ้างไปเถอะครับ
แต่ถ้าดูถึงเจตนาแล้ว บอกได้คำเดียวว่า มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าชัดเจนครับ
เราได้เห็นอาการลุกลี้ลุกลน การรวบรัดวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ถึงขนาดอ่านผิดอ่านถูก เพื่อใช้เวลาให้เร็วที่สุด ในการถอนรากถอนโคน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้ได้อย่างเด็ดขาดเฉียบพลัน
ซึ่งก่อนหน้านี้ มีเสียงเรียกร้องจากนักวิชาการสายเผด็จการ นักสินติวิธีจอมปลอม ที่ให้มีการ “ยุบสภา” โดยอ้างว่าเพื่อคืนอำนาจไปให้กับประชาชน แล้วที่ประชาชนมอบความไว้วางใจ เลือกให้พรรคการเมืองที่ถูกยุบไป เข้ามาบริหารประเทศ ในตอนนี้จะเอาพวกเขาไปไว้ที่ไหน
อย่างนี้เท่ากับเป็นการตบหน้าประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามวิถีทางประชาธิปไตยทั่วประเทศ
ถึงแม้ว่าผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ ประกาศยุติการชุมนุมลงไปแล้ว โดยอ้างว่าเป็นชัยชนะ บนความหายนะของประเทศชาติ แต่ “สงครามกลางเมือง” ยังมีสิทธิปะทุขึ้นได้อีกครับ เพราะพันธมิตรฯ ยังทิ้งเชื้อเอาไว้
ตราบใดยังมีผู้คนต้องการเห็นกฎหมายเป็นกฎหมาย ต้องการให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และคนที่บังคับใช้กฎหมายมีความสง่างาม ไม่ด่างพร้อยด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะเรื่องของความน่าเชื่อถือ
กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ปฏิเสธกฎหมายบ้านเมือง กระทำการละเมิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง หยามหน้าคนที่รักษากฎหมาย มาตลอด
สถานการณ์ยังคุกรุ่นอยู่ ด้วยเงื่อนไขของม็อบพันธมิตรฯ ที่ระบุว่า ไม่เอารัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ
จะถือว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ที่ผ่านมามีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ออกมากดดันให้ทหารออกมายึดอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตกยุคไปแล้ว เพราะสังคมโลกมองว่าเป็น “ความป่าเถื่อน” การทำรัฐประหารยึดอำนาจจึงยังไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น “รัฐประหาร ซ่อนรูป” หรือ “ตุลาการภิวัตน์” คือการใช้กฎหมายมายึดอำนาจ จึงต้องถูกนำมาใช้แทน
ชัดเจนว่า ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ถามใจคนที่รักความเป็นธรรม คนต้องการความถูกต้อง ต่างยอมรับไม่ได้ กรณีที่พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคต้องถูกยุบพรรค จากน้ำมือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังเป็นเรื่องที่คาใจกันอยู่ลึกๆ
เนื่องจากฝ่ายที่ต้องการล้มล้างประชาธิปไตยเชื่อว่า นี่เป็นหนทางเดียว ที่จะจัดการกับฝ่ายประชาธิปไตยได้
ทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่รับไม้จาก นายสมัคร สุนทรเวช ยืนยันแข็งขันไม่ลาออก ไม่ยุบสภา ยืนหยัดปกป้องรักษาประชาธิปไตย ไม่โอนอ่อนผ่อนตามที่แม่ทัพนายกองต้องการ แต่ก็ต้องมามีอันเป็นไปด้วย เกมที่เผด็จการวางไว้ ถูกอำนาจนอกระบบเล่นงานจนหลุดพ้นเส้นทางประชาธิปไตยไป
ถามว่า การยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ภายใน 1 ชั่วโมง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ตายหมู่” นั้น มีผลกับม็อบก่อการร้ายพันธมิตรฯ อย่างไรแค่ไหน
มีแน่ครับ เพราะนี่เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯ ที่รู้กันดีว่าเป็น “ม็อบมีเส้น” และผู้สนับสนุน จะใช้เป็นข้ออ้าง ใช้เป็น “ทางลง”
เพราะบรรดาซากเดนทรราช ลิ่วล้อเผด็จการ คมช. และอำมาตยาธิปไตยเห็นตรงกันว่า ถ้ายังดันทุรังดื้อด้านต่อไป มีแต่ “แพ้กับแพ้” เพราะความชั่วช้าสามานย์ที่สร้างความหายนะให้กับแผ่นดิน
สิ่งที่น่าเสียดายคือ การนัดหมายเพื่อประชุมสุดยอดอาเชียน มีอันต้องเลื่อนไป ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเตรียมงานไว้พร้อมแล้ว
ทำให้ประเทศไทยและประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศอื่นๆ ต้องเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย แทนที่จะได้มาช่วยกันคิดแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของโลกที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบอย่างรุนแรงในขณะนี้
ดูเอาเถอะครับ คนที่เป็นประธานอาเซียน แต่จัดการประชุมในบ้านตัวเองไม่ได้ตามกำหนด ต้องถือว่าเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง ทั้งชื่อเสียงเกียรติภูมิ ความเชื่อถือศรัทธามีปัญหา เพราะคนกลุ่มนี้
เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะเป็นใครก็ตาม ต้องจับเรื่องที่ผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯกระทำย่ำยีจนประเทศชาติเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล มาจัดการก่อนเป็นเรื่องแรก
เพื่อให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ให้ต่างชาติยอมรับเชื่อถือว่า จะไม่มีคนนอกกฎหมายมาทำอะไรตามใจชอบอย่างที่เคยทำมาได้อีก
การจัดการกับแกนนำพันธมิตรฯ ต้องรีบทำ อย่าได้เตะถ่วงซื้อเวลาออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะที่ผ่านมานั้น เห็นได้ชัดว่า สาเหตุสถานการณ์ลุกลามใหญ่โต จนเปรียบได้กับ “นรกกลางกรุง” เป็นเพราะผู้รักษากฎหมาย ไม่เอาจริง
การยึดทำเนียบรัฐบาล ทำเป็นที่ซ่องสุมกองกำลัง เป็นคลังอาวุธมาทำร้ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง การยึดสนามบินดอนเมือง การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ออกไปทั่วโลก สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล แค่นี่ก็ติดคุกกันหัวโตแล้ว
ความเสียหายเป็นแสนล้าน ใครจะรับผิดชอบ
วันนี้แค่ถอนประกัน แกนนำพวกนี้ก็พากันหมดสภาพแล้วครับ
สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้ไปคือ พันธมิตรฯ จะกลับมาชุมนุมอีกเมื่อไหร่ และมีใครเป็นแกนนำ
ในเมื่อพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน ยังรวมตัวกันเข้ามาบริหารประเทศ ก็จะต้องถูกต่อต้านอีก จนกว่าจะกลับขั้วการเมือง ให้ “พรรคประชาธิปัตย์” มาเป็นแกนนำ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ต้องบอกว่า “เสี่ยงแสนเสี่ยง” เสียงจริงๆ ครับ เพราะมีเสียงเกินครึ่งไปเพียง 5 เสียงเท่านั้น
ถามว่าวิกฤติที่ประเทศชาติได้รับในตอนนี้ เราจะ “เสี่ยง” ให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนการชุมนุมประท้วง จนเกิดความเสียหาย ขึ้นมาบริหารประเทศนี้อย่างนั้นหรือ
บอกตรงๆ ว่า กรณี สปก. 4-01 ยังตามหลอกหลอนเกษตรกรคนยากคนจนมาถึงวันนี้ และกรณี ปรส.ก็เป็นเรื่องที่ลืมไม่ได้เช่นกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญ ที่จะนำไปสู่จุดแตกหักคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เนื่องจากฝ่ายประชาธิปไตยต้องการแก้ แต่ฝ่ายเผด็จการออกมาต่อต้านขัดขวาง ก็จะเป็นข้ออ้างในการออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลของพันธมิตรฯ อีก
มาถึงวันนี้ ประเทศชาติต้องเดินหน้าไปให้ได้
สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางในการบริหารงานของฝ่ายประชาธิปไตย
ดังนั้น ต้องขจัดเครื่องมือของระบอบเผด็จการออกไปจากประชาธิปไตย