ที่มา thaifreenews
เราต่างมาจากทั่วทุกสารทิศ
ความคิดของเนวิน ชิดชอบ กับการต่อสู้ของประชาชน
วิสา คัญทัพ
เป็นเรื่องปกติของผู้นำประชาชนคนแล้วคนเล่าที่ยุติการต่อสู้เพื่อประชาชนลงเพราะเขาได้รับประโยชน์อันพึงมีพึงได้เฉพาะตนเป็นที่เรียบร้อย เราต้องไม่คาดหวังว่า เรือทุกลำจะข้ามฟากไปได้ถึงฝั่งฝัน เพราะฝันของแต่ละคนย่อมมีจุดเพียงพอไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักการเมืองโดยอาชีพ เป้าหมายการเคลื่อนไหวของเขาย่อมดำเนินไปพร้อมกับข้อเท็จจริงแห่งอำนาจ ผลประโยชน์ และการอยู่รอดของพวกพ้องแห่งพลพรรคตน ไม่ว่ายุคใดสมัยใดประชาชนก็ไม่สามารถฝากความหวังในเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาชนไว้กับนักการเมืองได้
เราต้องสันทัดที่จะแยกแยะและทำความเข้าใจกับเรื่องเหล่านี้ให้แจ่มชัด เพื่อจะได้ไม่ท้อแท้ สิ้นหวัง และหมดกำลังใจ มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผู้นำประชาชนมาตามเงื่อนไขการต่อสู้ที่เป็นจริงในระยะเวลาที่แน่นอนหนึ่งๆ เขาจะอยู่ข้างความถูกต้องหรืออยู่เคียงข้างประชาชนไปได้นานแค่ไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะผู้นำประชาชนย่อมเกิดขึ้นเองเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดังคำกล่าวที่ว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ วันนี้กับวันนั้น วันที่สถานการณ์เปลี่ยนไป ประชาชนจึงมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะตัดสินยอมรับหรือไม่ยอมรับใครเป็นผู้นำของพวกเขา
กล่าวอย่างถึงที่สุด ประชาชนจึงต้องพร้อมพบเจอ “การทรยศหักหลัง”จากผู้คนที่เคยร่วมขบวนการเดียวกัน หรืออาจเรียกให้สวยงามว่า “การเปลี่ยนท่วงทำนองวิธีการ” ในการเคลื่อนไหว ซึ่งน่าหวาดเสียวไม่น้อย เมื่ออยู่ๆก็หันคมหอกคมดาบย้อนกลับมาทิ่มแทงฝ่ายที่เคยเป็นพวกเดียวกันมาก่อนเช่นนี้
อันที่จริง คำว่า “พวกเดียวกัน” นี้มองในมุมของนักการเมืองแล้วมีนัยให้คิด พวกเดียวกันเฉพาะเมื่อต้องการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอำนาจ เช่นเมื่อยามที่มีการเลือกตั้ง หรือเมื่อยามที่อยากได้เสียงข้างมากมาจัดตั้งรัฐบาล ทว่าเมื่อเสียงข้างน้อยแข็งแกร่งกว่า เพราะการเขียนกฎให้อำนาจอื่นๆยิ่งใหญ่กว่าอำนาจประชาชน เกิดช่องว่างพอจะรอดออกไปร่วมกับอำนาจทหารหรืออำนาจตุลาการใหม่ได้ นักการเมืองพวกนี้ก็ไม่รีรอที่จะฉวยโอกาสนั้นเอาตัวรอดโดยทันที
กรณีของท่านเนวิน ชิดชอบ เป็นกรณีของนักการเมืองจำพวกนี้ เขาจึงมีคำอธิบายที่ฟังดูเสมือนแสวงหาความสงบสุขและสันติอย่างเต็มที่ ทั้งเรียกการเปลี่ยนขั้วของตัวเองเป็นการทำเพื่อชาติ กระทำไปด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง รวมไปถึงการพยายามอธิบายว่า หากเขาไม่ตัดสินใจเช่นนี้ เขาจะเป็นหมายเลข 2 ต่อจากอดีตนายกฯทักษิณที่จะต้องถูกเชือดอย่างรุนแรงจนมิสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ ฟังดูน่าเห็นใจยิ่งนัก
หากเราเข้าใจว่าเนวินเป็นนักการเมือง ไม่ใช่นักต่อสู้เพื่อสังคมธรรม เราก็จะไม่เรียกร้องเนวินเชิงอุดมการณ์หรือการเสียสละใดๆ เราก็จะระงับความโกรธแค้นอันเป็นอารมณ์ขุ่นมัวลงไปได้ ทั้งตาสว่างว่าเนวินไม่ใช่นักการเมืองคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำเช่นนี้ มีนักการเมืองที่กระทำการอย่างนี้มาจนนับไม่ถ้วนจำนวนราย และเราควรต้องติดตามบทบาทของเขาต่อไปว่าจะคิดและทำอะไรต่อไปอีก แต่แน่นอนที่สุด เมื่อร่วมมือกับโจรปล้นประชาธิปไตยก็ย่อมเป็นโจรไปด้วย ประชาชนอย่างเราๆก็ต้องร่วมกันปราบโจรให้คืนอำนาจที่ได้ไปโดยไม่ชอบธรรมนั้นมาเสีย
ถามว่า การเป็นนักการเมืองที่ลื่นไหลเป็นปลาไหลเช่นนี้ ใครเป็นเจ้าลัทธิ คำตอบคือพรรคชาติไทย ถามว่าพรรคใดเป็นนักการเมืองจอมเสียบ ตอบว่า พรรคชาติพัฒนา ถามว่า กรณีชาวนากับงูเห่าเคยเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองพรรคไหน ตอบว่า พรรคประชากรไทย นักการเมืองจำพวกนี้ เนวิน ชิดชอบ ไม่ได้เป็นฮีโร่สมัยใหม่แต่อย่างใด ทำซ้ำกับนักการเมืองในอดีตที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ยิ่งถามว่าการตัดสินใจของพรรคการเมืองอื่นๆที่เคยอยู่ขั้วร่วมรัฐบาลพลังประชาชนที่เปลี่ยนมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ต่างอะไรกับการตัดสินใจของเนวิน ชิดชอบ ตอบได้เลยว่า ไม่มีอะไรแตกต่าง อย่างนี้แล้วเราต้องทำใจยอมรับ มาตรฐานนักการเมืองไทยว่ามีอยู่เพียงเท่านี้ ทั้งยังต้องคิดต่อไปด้วยว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ขัดแย้งต่อเสียงเลือกตั้งของประชาชนได้อย่างไร ถ้ามิใช่เพราะเขาไม่เชื่อว่า “ประชาชนคือผู้กำหนดผู้แทนราษฎร” หากเพราะเขาคือผู้ควบคุมคะแนนเสียงให้ประชาชนมาเลือกผู้แทนราษฎรดังใจที่เขาต้องการ และอย่าลืมเป็นอันขาดว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 50 ภายใต้ กกต.คณะปัจจุบัน เมื่อเขาเลือกข้างใหม่เสียแล้ว ปรากฎการณ์ใบเหลืองใบแดงจะทำร้ายทำลายเขาง่ายๆได้อย่างไร เนวินผู้มีสายตายาวไกลทางการเมืองอาจมองว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ต้องมีขึ้นจากฝีมือการยุบสภาของพรรคประชาธิปัตย์ การสู้ศึกเลือกตั้งในฝักฝ่ายข้างเดียวกับรัฐบาลรักษาการที่ควบคุมกลไกมหาดไทยไว้ในมือ (มีคนของตนเองเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย)เป็นความถนัดและเกิดประโยชน์ยิ่งสำหรับเนวิน ชิดชอบ
ต้องยอมรับนะครับว่า เนวินเป็นนักการเมืองอายุยังน้อย อนาคตยังไกล การถูกตัดสิทธิ์ห้าปีเป็นเวลาอันแสนสั้นสำหรับเขาเมื่อเทียบกับมังกรการเมืองอย่างบรรหาร ศิลปะอาชา เมื่อเขารู้ว่าสู้กับอะไรและอันตรายขนาดไหน ทั้งถูกบังคับให้เป็นคนต่อไปที่ต้องเดินฝ่ากองไฟ ก็แล้วแต่การตัดสินใจครับ เบรฟฮาร์ดอาจกล้าหาญลุยไปตายในกองไฟเป็นวีรบุรุษนักสู้เพื่อสังคมธรรม แต่เนวินอาจคิดว่าตนเองไม่ใช่ เขาเป็นแค่นักการเมืองที่เลือกอยู่รอดเพื่อจะทำงานต่อไป พร้อมยอมรับเสียงกร่นด่าจากทุกทิศทุกทาง
เนวินเหมือนล้อเกวียน เมื่อล้อเกวียนหมุนไป โคลนที่ติดล้อเกวียนก็ต้องหมุนตามไปด้วย โคลนที่ติดล้อเกวียนอย่างแน่นสนิท แม้ล้อเกวียนจะคลอนไหวสะท้านสะเทือนบนเส้นทางอันขรุขระอย่างไรก็ไม่ร่วงหล่น กลยุทธการบัญชาการจากพลาดพลั้งเพลี่ยงพล้ำให้พลิกกลับไปเป็นฝ่ายได้ชัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ถูกประณามว่าทรยศหักหลัง มีปรากฎให้เห็นบ่อยครั้งในประวัติศาสตร์แห่งสงคราม มีเสียงสะท้อนจากโคลนติดล้อดังก้องมาว่า เนวินแตกหักกับทักษิณด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวทำนอง “ทำดีไม่ได้ดี” เขาถูกนายใหญ่หักดิบหลายครั้ง ทั้งที่ทุ่มทั้งชีวิตสู้เพื่อเจ้านายจนจะเอาตัวไม่รอด มีกรณีที่เป็นรูปธรรมของความขัดแย้งและการตัดสินใจไปคนละทางหลายเรื่อง จนสุดท้ายเนวินเลือกถอนตัวออกมา ด้วยวาจาทีอ้างว่าไม่เคยลืมบุญคุณนายใหญ่ ภาพยนตร์ยังไม่จบครับ หนังชีวิตเป็นเรื่องยาว ต้องติดตามดูกันต่อไป
“บนเส้นทางทุกคนต่างต้องก้าวเดิน ไปเพลินๆชีวิตไม่คิดอะไร
ผ่านวัยพึ่ง วัยพบ วัยเพียรเปลี่ยนไป ก่อนสู่วัยพัก และพราก ต้องจากจร”
ผมอยากจะบอกพี่น้องประชาชนทั้งหลายว่า การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ผู้นำการต่อสู้จักต้องไม่ใช่นักการเมืองที่หมุนเวียนเคลื่อนไหวอยู่ในระบบการเมืองประเภท “เมื่อแพ้ก็ออกมาสู้กลางถนน เมื่อชนะก็ไปนั่งเป็นรัฐบาล” ผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ ส.ส. ไม่ใช่ผู้แทนราษฎร และไม่ควรวนเวียนอยู่กับตำแหน่งหน้าที่ที่มีผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ทางการเมือง พวกนี้เป็นได้แค่แนวร่วมทางความคิดและแนวร่วมทางการต่อสู้ในบางสถานการณ์เท่านั้น สามารถสนับสนุนทุนรอนปัจจัยในบางช่วงจังหวะที่เขาเห็นว่า “แนวทางตรงกัน” เข้าทำนอง ผู้มีแรงออกแรง ผู้มีปัญญาใช้ปัญญา ผู้มีเงินออกเงิน” โดยการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะต้องมีผู้นำที่มีอิสรภาพในการเคลื่อนไหวอย่างแท้จริง
คิดไปก็ให้เห็นใจพี่น้องประชาชนไทยที่ไม่มีผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ฉายภาพการนำอย่างสง่างามแจ้งชัดโดดเด่นอย่าง มหาตมะคานธี, เหมาเจ๋อตง,โฮจิมินห์, หรืออองซานซูจี ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยของเรามักมีภาพซ้อนเปื้อนปนอยู่กับความเป็นการเมืองในระบอบเลือกตั้งมากกว่าจะเป็นผู้นำเชิงอุดมคติ เป็นผู้นำที่โคจรอยู่ในแวดวงอำนาจรัฐอันคลอนไหวไปตามอิทธิพลแห่งการเมืองและผลประโยชน์ ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยขาดตอนไม่ต่อเนื่อง ข้อเรียกร้องที่เป็นประชาธิปไตยอันแท้จริงต้องหยุดชะงักลงเป็นบางช่วงบางตอน แลดูประหนึ่งว่า สองขั้วขัดแย้งกันเพียงเพื่อได้อำนาจเป็นรัฐบาล เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วก็หยุดความพยายามที่จะทำให้ประชาธิปไตยมีความสมบูรณ์เต็มใบโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เอื้อประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
ต้องมองให้ออกว่า การต่อสู้ของฝ่ายประชาชนในปัจจุบันเป็นการต่อสู้ที่ไร้รูปการ กว้างขวางจริง ยิ่งใหญ่ไพศาล ทว่ายังอ่อนด้อยด้านการจัดตั้ง และไร้การนำอันถูกทิศทาง ประชาชนจึงกระจัดกระจายเคลื่อนไหวตามอารมณ์อย่างไร้รูปแบบการเคลื่อนไหวตามอารมณ์หากควบคุมไม่ได้อาจจะเกิดผลลบตามมา สั่งสมผลลบหลายๆครั้งภาพพจน์การต่อสู้ก็เสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลียนแบบความรุนแรงจากพันธมิตรโดยไม่ตั้งใจ เป็นไปโดยอารมณ์เคียดแค้นที่พาไปเราต้องเช้าใจว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่มีรูปการ เพราะเนื้อแท้แล้วอยู่ภายใต้การนำโดยหน่วยงาน,องค์กร,และสถาบันอันหลากหลาย ถึงขั้นทำผิดกฎหมายแล้วก็ยังลอยนวลอยู่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรายิ่งต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรงและการทำผิดกฎหมายให้มากที่สุด เพราะเราจะไม่ได้รับ”การอภัยทางนิตินัย” เยี่ยงพวกเขาเป็นอันขาด เวลานี้จึงเป็นเวลาอันยากลำบากที่สุดของพวกเรา
ยิ่งสู้นานเท่าไร ยิ่งซึ้งใจประชาชน
ทั้งอึดทั้งอดทน และอัดแน่นด้วยแค้นใน
ยื่นมือเมื่อสัมผัส ก็ร้อยรัดด้วยดวงใจ
ไม่รู้ น้ำอะไร มันซึมไหล จากดวงตา
ยิ่งเห็นเพื่อนว้าเหว่ ลอยทะเลแห่งเวลา
แสงดาวแห่งศรัทธา รอพรายรุ้งจนรุ่งราง
ใจสู้ของผู้คน ที่ทุกข์ทนร่วมแนวทาง
เลือดไทยนี้ไม่จาง และลูกไทยจักไม่ยอม
เพื่อนเอย แม้ลำบาก ต้องทุกข์ยากและตรมตรอม
ยืดเยื้อและอ้อมค้อม ทั้งคดเคี้ยวน้ำเชี่ยววน
เห็นเพื่อน สู้ไม่ถอย ต่อเถื่อนถ่อยด้วยอดทน
ประเดี๋ยวมืดที่มัวมน จะรุ่งแจ้งเห็นแสงทอง.