ที่จริงเรื่องนี้ควรจะตั้งชื่อเรื่องว่า“พ่อบุญอุ้ม”เพราะทั้ง คมช. และ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ เปิดหน้าเล่นอย่างเปิดเผย ในการจะอุ้ม“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ให้จงได้แต่ก็ต้องลำบากกันอยู่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ทำ ส.ส. ทั้ง 2 ระบบเข้ามาได้แค่165 น้อยกว่า 233 พรรคพลังประชาชน ของ “สมัคร สุนทรเวช” อยู่ถึง 68 คน
จะต้องให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนถึง 69 ใบ จึงจะมี ส.ส. น้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในอันที่จะพลิกขั้วจากพรรคพลังประชาชนมาเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลกำลังเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ทั้ง “สมัคร สุนทรเวช” ทั้ง “น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี” ต่างก็ตั้งข้อสงสัยว่า การที่ กกต.แขวนว่าที่ ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนไว้ 65 คน ทำไมมันจึงไปตรงเป๊ะกับตัวเลขใบแดงที่“สุเทพ เทือกสุบรรณ” ปูดเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.50มีแต่คนถามหาว่า “เทพเทือก” พูดเรื่อง 60 ใบแดงของพรรคพลังประชาชนตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดว่าอย่างไร ขออ่านหน่อยสิทั้งนี้ ก็เพราะว่าพูดเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.50 เป็นช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
บางคนก็ห่างเหินจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปเลยเพื่อสนอง “บางกอกทูเดย์” ก็ไปค้นข่าวเก่ามาให้แล้ว และเอามาลงเป็นล้อมกรอบไว้ในหน้านี้แล้วส่วนที่เราบอกว่า ความจริงเรื่องนี้ควรจะตั้งชื่อเรื่องว่า “พ่อบุญอุ้ม” ก็เพราะเอามาจากชื่อของ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ที่ได้แสดงความกล้าหาญอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะกล้าขนาดนี้
พล.อ.บุญรอด ออกมาให้สัมภาษณ์นักข่าวหน้าตาเฉย เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.50 อ้างประเพณีคนกรุงเทพฯ เลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ก็สมควรที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลพร้อมทั้งย้ำว่า ความเชื่อลึกๆ แล้ว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะต้องได้เป็นายกรัฐมนตรีฟังแล้วเลอะเทอะ อ้างประเพณีบ้าบอแต่ถ้ายอมรับความจริง จะรับได้ว่า พล.อ.บุญรอด พูดเรื่องการเมืองไม่เคยผิด เพราะคนนี้คือ “เพื่อนซี้ตัวจริง” ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จากค่าย “บ้านสี่เสาฯ”พล.อ.บุญรอด เคยผ่ากลางปล้องออกมาพูดยืนยันว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ตั้ง
พรรคการเมือง ไม่ลงสมัคร ส.ส. จะเข้ามาเป็นแค่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะ “ผู้ชาย” หลายคนมาก กำลังเดินหน้าจัดตั้งพรรคการเมืองให้
พล.อ.สนธิ แล้วที่สุดก็จริงอย่างที่ พล.อ.บุญรอด พูดทั้งหมด
ดังนั้น การที่ พล.อ.บุญรอด ยืนยันว่า ลึกๆ แล้วเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหัวหน้าพรรคก็คือ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องอย่าดูแคลนคำพูดนี้ เพราะแม้ว่าผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้ว่าที่ ส.ส. มาแค่ 165 น้อยกว่าพรรคพลังประชาชนถึง 68 คนแต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า“อำนาจรัฐอยู่ในมือใคร”
อำนาจรัฐสามารถที่จะบิดเบือนผลการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะจำนวน ส.ส.เล่ห์ กล มนต์ คาถา เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ จึงเชื่อถือไม่ได้แต่สำหรับการกระทำของมนุษย์นั้น เป็นเรื่องจริงเมื่อจำนวน ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์น้อยกว่าพรรคพลังประชาชน ก็สามารถที่จะทำให้
จำนวนของพรรคพลังประชาสชนลดน้อยลงได้ ด้วยการให้ “ใบแดง”ต้องใบแดงเท่านั้น ใบเหลืองไม่มีผล เลือกตั้งใหม่ พรรคพลังประชาชนก็ชนะอีกและเพื่ออรรถรส เราได้นำคำพูดของ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ “อุ้มอภิสิทธิ์” มาลงให้อ่านอีกรอบในล้อมกรอบเรื่องนี้สมควรชื่อว่า “พ่อบุญอุ้ม” จริงๆ แต่เรา “บางกอกทูเดย์” ก็เปลี่ยนใจ มาตั้งชื่อเรื่องเสียใหม่เป็นว่าพ่อบุญหล่นและขอเติมคำว่า ตุ๊บ กลายเป็น “พ่อบุญหล่นตุ๊บ” เข้าไปด้วยก็ได้
คนที่ทำให้อภิสิทธิ์กลายเป็นพ่อบุญหล่นตุ๊บ คือ “บรรหาร ศิลปอาชา”เราเคยเขียนวิเคราะห์เรื่อง “สั่งสอนบรรหาร” เอาไว้ในวันที่ กกต. ทำให้ตื่นเต้นด้วยการบอกว่า
จะต้องสอบสวนกรณีที่เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งเขต 1 สุพรรณบุรี ปฏิบัติมิชอบ แนะนำประชาชนให้ลงคะแนนให้เบอร์นั้นเบอร์นี้ ซึ่งอาจจะทำให้การประกาศรับรองการเป็น ส.ส. ของบรรหารและทีมทั้ง 3 คนอาจจะต้องเลื่อนออกไปก่อน และแม้ที่สุด กกต. รับรองแล้ว เมื่อ 3 ม.ค.51 แต่ก็เป็นการรับรองอย่างมีเงื่อนไข จะต้องไปสอบสวนเจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งอีกหลังจากนี้ และหากว่ามีการทำผิดจริงก็อาจจะให้เลือกตั้งใหม่ได้
เราจบด้วยคำว่า บรรหารจะนอนไม่หลับไปอีกหลายคืนแต่เอาเข้าจริง...บรรหารมิได้เกรงกลัวและทำในสิ่งเหลือเชื่อ ด้วยการพูดจาเขย่าขวัญ คมช. และ “ผู้ใหญ่” ที่นับถือกันมา 30 ปีวันเสาร์ 5 ม.ค.51 บรรหารให้สัมภาษณ์นักข่าว ณ ที่ทำการพรรคชาติไทย ว่า“การที่ กกต. ยังไม่รับรองว่าที่ ส.ส. จำนวน 83 คน เป็นเพียงการไม่รับรอง ไม่ใช่ว่าจะโดนใบเหลืองใบแดงทั้งหมด เพราะขณะนี้ กกต. ก็กำลังตรวจสอบอยู่ คงให้เวลา กกต. ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนของพรรคชาติไทยโดนประกาศไม่รับรอง 4 คน ใน จ.ชัยนาท สิงห์บุรี และชัยภูมิ แต่ว่าที่ ส.ส. ทั้ง 4 คนก็ได้ไป
ชี้แจงต่อ กกต. แล้ว ผมคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
นักข่าวถามว่า การที่พรรคพลังประชาชนถูกแขวน 65 คน จะมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่บรรหารตอบว่า“เชื่อว่าพรรคพลังประชาชนจะไม่โดนใบแดงทั้ง 65 ใบ เพราะคงต้องมีคละเคล้ากันไปแต่เชื่อว่าพรรคพลังประชาชนอาจจะโดนเพียง 20 ใบเท่านั้น ซึ่งยังเหลืออีก 20 คนที่ไม่โดน เมื่อรวมแล้วก็ยังมีคะแนนเสียงมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ และในส่วนของพื้นที่ที่ กกต. ประกาศไม่รับรองส่วนใหญ่ก็อยู่ในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ที่พรรคประชาธิปัตย์จะมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง จึงเชื่อว่า ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์คงไม่มากไปกว่านี้ เพราะเป็นพื้นที่ที่พรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคชาติไทยมีโอกาสมากกว่า”
การที่บรรหารพูดวิเคราะห์ไว้อย่างนี้แหละ ที่ทำให้เราพาดหัวใหญ่ในวันนี้ว่าอภิสิทธิ์ กลายเป็นพ่อบุญหล่นตุ๊บหายวับไปแล้ว เพราะถึงแม้มีการเลือกตั้งใหม่ในกรณีพรรคพลังประชาชนได้ 60 ใบแดงจริง มันก็ไม่ใช่ไปเพิ่มในส่วนของ ส.ส.ประชาธิปัตย์และบรรหารก็ได้ยืนยันความเชื่อที่มีมานานแล้วว่า เขานี่แหละ คือ “มังกรการเมืองตัวจริง”ด้วยการบอกนักข่าว ย้ำถึงการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลฝ่ายพรรคพลังประชาชนแล้วโดยกล่าวถึงวันที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น้องเขยทักษิณ กับ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ มาเชิญเข้าร่วมรัฐบาล ขณะนอนป่วยอยู่ที่ รพ.รามาธิบดี เมื่อ 28 ธ.ค.50 โดยได้รับปากจะทำตามเงื่อนไข 5 ข้อที่ยื่นไปเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.50
“ถ้ารับ 5 ข้อที่ผมเสนอไป ก็เข้าร่วมรัฐบาลได้ไม่มีปัญหา ทั้ง 2 คนก็ยืนยันว่ารับได้ ดังนั้นผมจึงให้คำมั่นสัญญาไปแล้วว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลด้วย ส่วนจะแถลงเข้าร่วมรัฐบาลเมื่อไรนั้น คงต้องไปหารือกับพรรคเพื่อแผ่นดินอีกครั้ง เพราะต้องดูสถานการณ์อีกครั้ง และตอนนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร”แต่อย่างไรก็ตาม “การเมืองก็คือการเมือง” ไม่ใช่เรื่องคณิตศาสตร์ ที่จะต้อง 2 บวก 2 เป็น 4 เสมอไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนอย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ใช่ไร้ฝีมือ และแผนขั้นบันไดที่จะทำลายรวมทั้งสกัดกั้น ไม่ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” พร้อมบริวารว่านเครือและสมุนบริวารกลับเข้าสู่อำนาจการเมืองอีกนั้น มันมีอีกหลายวิธี“ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ก็หาใช่ใครที่ไหน ใกล้ชิด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเป็นอย่างดีเมื่อวันที่ 8 พ.ค.50 ไชยวัฒน์พร้อมพวกได้ไปที่ บก.ทบ. โดยพล.อ.สนธิ รีบเผ่นออกจากทำเนียบรัฐบาล มาต้อนรับด้วยตัวเองที่ห้อง
รับรอง
ไชยวัฒน์และคณะยื่นหนังสือให้ พล.อ.สนธิ ใช้ฐานะ“ประธาน คมช.” ปลด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที อ้างว่าหากให้บริหารประเทศไทยต่อไปอีก 6เดือน เจ๊งแน่หลังจากนั้น มีคนฝ่าย พล.อ.สุรยุทธ์ เอะอะโวยวายว่าพล.อ.สนธิ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจ ซึ่งพล.อ.สนธิ ก็แก้ว่า ไม่รู้ว่าจะมายื่น
หนังสือให้ปลดนายกรัฐมนตรีถึงได้มารับด้วยตัวเอง และเรื่องก็เงียบหายไปในเวลาไม่นานดังนี้เอง “บางกอกทูเดย์” จึงขอบอกว่า “การเมืองไม่เคยมีสูตรสำเร็จ”ดังนั้น คำพูดล่าสุดของบรรหารที่ว่า ถึงพรรคพลังประชาชนได้ 0 แดง แต่ไม่ใช่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ จะเพิ่ม เพราะเลือกตั้งใหม่ทางภาคเหนือกับอีสาน ไม่ใช่พื้นที่ที่ประชาธิปัตย์จะได้คะแนนก็จริงอยู่แต่ก็ต้องอย่าลืม “ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์”“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ว่าบุญหล่นตุ๊บ อดเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว อาจจะเกิดปาฏิหาริย์
“บุญหล่นทับโครม”ได้เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมาจริงๆ ก็ได้“ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” เขาให้