ผมได้ฟังนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ชี้แจงผลงานในช่วงระยะเวลา 4 เดือน รวมทั้งเรื่องการวางแผนโครงการในอนาคต เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ ผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ก็รู้สึกว่าน่าเห็นใจนายกฯ
แม้จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผลงานยังไม่เข้าตาชาวบ้านเท่าไรนัก เราก็ต้องเข้าใจถึงสถานการณ์ต่างๆ ด้วย
ถ้าเปรียบเทียบการทำงานของ รัฐบาลนายกฯ สมัคร เหมือนกับ “เรือลำใหญ่” ที่กำลังล่องลอยอยู่กลางทะเล โดนคลื่นซัดซวนเซ
นอกจากจะโดนคลื่นโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ยังโดนเพื่อนๆ บนเรือพยายามจะทำให้เรือล่มอีกด้วย
พวกนี้แหละที่จะบอกว่า “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” ซึ่งเป็นสุภาษิตไทยที่จะอธิบายสถานการณ์การเมืองไทยได้อย่างดีที่สุด
“มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” ถือเป็น “ตัวร้าย” เพราะ ไม่ทำ แต่คอยที่จะขัดแข้งขัดขาคนอื่น พวกที่ทำงานก็ทำกันไปแทบตาย
เปรียบได้กับประเทศไทย ณ เวลานี้ ก็เลยไม่ก้าวหน้า ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที มาเลเซียไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ส่วนเวียดนามก็กำลังไล่หลังมาติดๆ
พวกเอาเท้าราน้ำที่กล่าวถึงนี้ เปรียบได้กับ “ม็อบข้างถนน” และแกนนำอีก 5+1 คน ที่กำลังเย้วๆ อยู่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์
พวกนี้กำลังถ่วงความเจริญของประเทศชาติ โดยอ้างว่าตัวเองได้ออกมาทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
พวกเขาเหล่านั้นเรียกการกระทำนี้ว่าการ “กู้ชาติ”!
โดยมีสื่อมวลชนและเอ็นจีโอคอยให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ สร้างกระแสครอบงำความคิด ให้ประชาชนส่วนหนึ่งได้เกิดความรู้สึกว่า รัฐบาลคือคนเลว คนชั่ว คนโกง
ถึงแม้ว่าการออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่าง เป็นสิทธิของนักวิชาการ สื่อมวลชน เอ็นจีโอ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย
แต่การออกมาแสดงความคิดเห็นจะต้องไม่มากและก้าวล่วงจนเกินไป จนฝ่ายรัฐบาลทำงานกันไม่ได้
ตัวอย่างที่จะยกมาประกอบเรื่อง “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” อีกตัวอย่างหนึ่งคือ กรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศยกระดับการชุมนุมเป็น “อารยะขัดขืน” โดยจะหยุดงานและงดจ่ายภาษี
รวมทั้งอาจจะร่วมมือกับรัฐวิสาหกิจ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา งดจ่ายน้ำ จ่ายไฟ ปิดสนามบินนานาชาติ ฯลฯ
เท่าที่ได้ฟัง นายสุริยะใส กตะศิลา ให้สัมภาษณ์นั้น ดูท่าทางจะมั่นใจมากว่า เป็นสิทธิของพลเมืองที่ไม่จำเป็นต้องยอมรับและปฏิบัติตามรัฐบาล
ผมมั่นใจว่า “อารยะขัดขืน” ที่คุณสุริยะใสประกาศออกมานั้น ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน และรัฐบาลไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับคำข่มขู่ของคุณสุริยะใสมากนัก
แต่ผมเกรงว่า เด็กๆ เยาวชน ที่ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือผู้ปกครองที่นำบุตรหลานไปฟังการปราศรัย จะสับสนในคำพูดของผู้หลักผู้ใหญ่
ห่วงเด็กจะเข้าใจและตีความไปผิดๆ ว่า ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังกฎหมาย ไม่ต้องเคารพระเบียบกติกาที่สังคมร่วมสร้างกันมา
ต่อไปลูกหลานของเราคิดอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใหญ่ออกมาห้ามปรามก็อ้างได้ว่า ใช้อารยะขัดขืน
ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว สังคมเราจะอยู่กันอย่างไร บ้านนี้ เมืองนี้ มีกฎหมาย มีขื่อมีแป ใครไม่ยอมรับหรือขัดขืนก็ไม่สมควรที่จะอยู่ในประเทศนี้
...ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่พวกเราจะอัปเปหิพวกมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ ออกจากสังคมไทยไปให้ไกลๆ เสียที!
ลวดหนาม