การก่อกวนความสงบสุขต่อบ้านเมืองที่แก๊งพันธมิตร – พันธมาร กำลังก่อหวอดปลุกกระแสอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ แม้คำกล่าวของแกนนำจะออกมาสำแดงพลังให้เห็นเป็นระยะๆ พร้อมกับใช้สื่อชั่วช่วยขยายผลให้สังคมเห็นกลายเป็นความชอบธรรมนั้น
แต่ในเบื้องลึกหาใช่จะไม่มีรอยร้าว รอยแตกแยก แต่อย่างใดไม่....???
เพราะเมื่อรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีไม่โต้ตอบ แก๊งพันธมารก็ออกอาการกระอักเลือดให้เห็นแล้ว
ผลจึงไปตกอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นอีแอบสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เริ่มกระอักกระอ่วน เมื่อความแข็งกร้าวของแก๊งพันธมารเพิ่มดีกรีมากขึ้น
ดังที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลาขาธิการพรรค ส่งสัญญาณออกมาเมื่อไม่กี่วันมานี้ โดยกล่าวยืนยันว่า
พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่เบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรฯอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อประชาชนมาชุมนุม ในฐานะ ส.ส.ก็ต้องดูแล โดยได้สั่งการ ส.ส.ของพรรคไม่ให้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เนื่องจากมีการเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นการขับไล่รัฐบาลแล้ว
และพลันที่เสียงของนายสุเทพ เข้าหู กลุ่มพันธมิตรฯก็ออกอาการทันที ด้วยข้อเสนอที่คล้ายจะบล็อกพรรคประชาธิปัตย์อย่างถอดใจอย่างเด็ดขาด นั่นก็คือ การเสนอให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยุบสภา....!!!
เพราะการยุบสภา หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นผลเสียต่อพรรคประชาธิปัตย์อย่างใหญ่หลวง เนื่องจากสถานการณ์ทั้งผลแห่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ผ่านมาอย่างหมาดๆ มีตัวบ่งชี้ถึงความเสื่อมนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ให้เห็นอยู่ไม่มากก็น้อย
จึงไม่ผิดที่นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ประธานสภาสนามหลวง ได้กล่าวบนเวทีเมื่อค่ำคืนวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า
ให้จับตาดีๆ เพราะกลุ่มก้อนที่อยู่เบื้องหลังสนับสนุนม็อบสะพานมัฆวานฯ กำลังถอดฉาก และท้ายสุด แก๊งพันมารก็จะถูกโดดเดี่ยว....???
ขณะที่อาการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคหุ่นเชิด ก็สำแดงให้เห็นในทันที ด้วยการออกมากล่าวถึงกรณีที่ นายกรัฐมนตรี ปัดข้อเสนอของนายแพทย์ประเวศ วะสี จะทำให้รัฐบาลพบกับความลำบาก
แต่นั่นก็หมายถึง การที่นายอภิสิทธิ์ สนับสนุนข้อเสนอของนายแพทย์ประเวศ เป็นเพียงการเร่งรัด ให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ามามีส่วนเป็นรัฐบาลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ ที่ลึกๆ ก็คือ การขอแบ่งเค้กกันกิน
หรือข้อเสนอที่แนะให้ 4 อดีตนายกรัฐมนตรีหารือกันเพื่อหาทางออกวิกฤติปัญหาในบ้านเมือง ซึ่งที่แท้ก็คือ
การถอยมาหนึ่งขั้นเพื่อให้ข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาติ กลายเป็นน้ำหนักแรงหนุนมาจาก 4 อดีตนายกฯ แทนน้ำหนักที่มาจากนายแพทย์ประเวศ เพียงคนเดียว ซึ่งก็เข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น....!!!
แต่กระนั้นก็ตาม ห้วงต่อไปนี้จะบ่งบอกได้ว่า พรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถหยุดยั้งความกร้าวร้าวของแกนนำกลุ่มพันธมารได้แม่แต่น้อยนิด
ยิ่งรัฐบาลนิ่งเฉย อาการฟาดง่วงฟาดหางของแก๊งพันธมาร ก็จะอุบัติด้วยนัยที่กลายความร้ายแรงต่อสังคมมากขึ้น จากล้มรัฐบาล ไปสู่การตั้งเมืองใหม่ ไปสู่อารยขัดขืน ชักชวนประชาชนไม่เสียภาษี
เลยเถิดไปสู่การเอาผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจออกมาข่มขู่ตัดน้ำตัดไฟ และกลายเป็นก่อกระแสการกบฎต่อบ้านเมือง ที่ฝ่ายผู้รักษากฎหมายมิอาจยินยอมได้ต่อไป....!!!
จึงกลายเป็นยิ่งแก๊งพันธมาร ตอกลิ่ม มากขึ้นเท่าใด ก็กระเทือนไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ มากขึ้นเท่านั้น สะเทือนจนท้ายสุดต้องถอนยวงเลิกให้การสนับสนุน
และหากพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคการเมือง ยังไม่คำนึงถึงเสียงของประชาชนเป็นที่ตั้งให้มากกว่าเสียงของแกนนำพันธมารฯ กาลวิบัติของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะยิ่งคืบคลานให้เห็นเด่นชัดขึ้น
หรือจะเป็นดังเช่นผู้ใช้นามว่า คุณ poonnok บนเว็บบอร์ด ประชาไท ที่ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า มีแต่เพียงประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขเท่านั้น ที่เหมาะสมกับประเทศไทย
เพียงแต่ว่า ขณะนี้ความขัดแย้งที่ได้ก่อตัวขึ้นนั้น ก็คือ ฝ่ายที่ต้องการการปกครองแบบ เผด็จการอมาตยาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข กับ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ได้ต่อสู้กันอย่างเต็มกำลัง โดยจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะหรือแพ้โดยเด็ดขาด....!!!
การสมานฉันท์ ที่มีคนจำนวนมากพยายามเรียกร้องให้เกิดขึ้นนั้น เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่เข้ามาเพื่อบดบังการต่อสู้ที่ได้ก่อตัวขึ้น ภายในสังคมที่ไม่สามารถยุติได้
กระแสประชาธิปไตยที่เชียวกรากอยู่ในโลกขณะนี้ ไม่มีใครปฏิเสธหรือต่อต้านได้....??? ดังนั้นในที่สุดแล้ว แม้แต่ประเทศไทยเอง ก็จะต้องเข้าไปสู่กระแสเดียวกันนี้
ผู้ที่พยายามต่อต้าน หรือขัดแย้งกับความเป็นไปนี้ ก็คือการทำลายตัวเองนั่นเอง....!!!
เพราะฉะนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงยอมรับเป็นตัวแทนของระบอบอำมาตยาธิปไตยอยู่เช่นนี้
เห็นทีจะได้เห็น 60 กว่าปี ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอีกหนึ่งชื่อนี้จะต้องกลายเป็นความหลังเหมือนเช่นพรรคไทยรักไทยได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ก็เป็นได้....
พร ภัทร