วันนี้อาจจะต้องขอละเลยในประเด็นการเมืองภาพรวมไว้สักครั้ง โดยอยากจะขอพูดถึงบุคคลคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ นั่นก็คือ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ สุรชัย แซ่ด่าน ในอดีต ที่ขณะนี้กำลังเปิดเวที สภาสนามหลวง มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ และก็ยังไม่มีกำหนดยกเลิก
ผมไม่รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อน ได้ยินก็แต่ข่าวคราวการเป็นนักต่อสู้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว จนเจ้าตัวต้องถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี ต้องโทษถึงประหารชีวิต
แต่ภายหลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งก็ถูกจองจำอยู่หลายสิบปี จนมาได้รับอิสรภาพในบั้นปลายของชีวิต ที่ก็มีอายุอานามปาเข้าไปแล้วกว่า 60 ปี
ผมมาพบหน้าค่าตาตัวจริง ก็เมื่อมีการชุมนุมต่อต้านเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน เมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่ท้องสนามหลวง
โดยพี่สุรชัยได้เข้าเป็นหนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. ชุดที่ 2 หลังชุดแรกที่มี อ.มานิตย์ จิตจันทร์กลับ เป็นประธาน ถูกจับกุมแทบจะยกทีม
การรู้จักอย่างผิวเผินครั้งนั้น ก็ใช่ว่าผมจะรู้จักตัวตนของพี่สุรชัยมากมายแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เพียงทักทาย ยกมือไหว้ให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ สอบถามอะไรบ้างก็เป็นเพียงน้อยนิด แต่ก็ให้รู้สึกถึงไออุ่นของพี่สุรชัยอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็อดไม่ได้ตามเคยที่จะต้องไปสังเกตการณ์ ไปให้กำลังใจต่อการขับเคลื่อนของเวทีประชาชนที่ท้องสนามหลวง ในนามของ สภาสนามหลวง ที่ พี่สุรชัยได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาแห่งนี้
แน่นอน ทั้งความมากด้วยประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน และด้วยความเป็นคนสุขุมเยือกเย็น รู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
คุณสมบัติเหล่านี้จึงทำให้พี่สุรชัยสามารถตรึงมวลมหาประชาชนที่เข้าร่วมรับฟัง ไม่ต่ำกว่า 2 พันคน ได้ในทุกค่ำคืน จวบจนถึงช่วงสุดท้ายที่ประธานสภาผู้นี้จะต้องขึ้นกล่าวปิดเวที
และถึงแม้ในทุกค่ำคืน พี่สุรชัยจะเปิดฉากการปราศรัยด้วยการเปิดปมประเด็นเบื้องหน้าเบื้องหลังของกลุ่มแก๊งพันธมาร และเล่ห์กลการบิดเบือนของพลพรรคประชาธิปัตย์อย่างสม่ำเสมอแล้ว ภายใต้ปมประเด็นต่างๆ ก็ถูกสอดแทรกความเป็นตัวเป็นตน ความเข้าใจต่อปัญหาของบ้านเมือง สังคมไทย และสังคมโลกได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะเมื่อช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ดูจะเป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งของประชาชนที่ตั้งหน้าตั้งตาคอย แม้แต่ตัวผมเอง
ต่อสถานการณ์เมืองไทยและสังคมโลก พี่สุรชัยชี้ให้เห็นว่า การเมืองไทยที่บอกตัวเองจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ต้องล้มลุกคลุกคลานมาอย่างยาวนาน หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นั้น ก็เพราะ
การหวงอำนาจ การไม่เข้าใจและไม่ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมโลก ในบรรดาเหล่าอำมาตยาธิปไตยทั้งสิ้น
ที่แม้หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 จะเกิดขึ้น และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 จนกล่าวได้ว่า อำนาจของกองทัพต้องถอยร่นออกห่างจากการเข้าครอบงำการปกครองประเทศไปแล้วก็ตาม ก็ยังมิยอมลดละ
ซึ่งการปฏิเสธและการพยายามเหนี่ยวรั้งต่อกระแสสังคมโลก ต่อโลกาภิวัตน์เหล่านี้เอง จึงเป็นที่มาของการรวมหัว รวมตัวกันออกมาตั้งเรื่องป้ายสีรัฐบาลไทยรักไทย ที่นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในหลายๆ ข้อกล่าวหา แล้วก็ฉกฉวยโอกาสปล้นอำนาจไปจากประชาชน
อย่างไรก็ตาม พี่สุรชัย ย้ำว่า การยังคงยอมตนของกลุ่มอำมาตยาธิปไตยเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ปฏิเสธไม่ยอมปรับตัว พร้อมต่อต้านทุนโลกาภิวัตน์ของโลก ท้ายสุดจะทำให้ประเทศไทยก้าวสู่วิกฤติ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยากไร้ต้องกลายเป็นผู้รับผลกรรมแทน
พี่สุรชัย ยังกล่าวถึงมุมมองที่มีต่อรัฐบาลไทยรักไทย ภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า แนวทางของอดีตนายกฯ คือ
เมื่อยอมรับกระบวนการโลกาภิวัตน์ จึงต้องนำพาประเทศไทยไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ แข่งขันได้กับสังคมโลก ที่จำเป็นต้องยกฐานะคนชั้นล่าง หรือคนรากหญ้าของประเทศ ให้เข้ามาสู่สถานะชนชั้นกลางมากที่สุด ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นสังคมไทยก็จะมีพรรคการเมืองของชนชั้นกลางอย่างแท้จริงเกิดขึ้น
ดังนั้น นโยบายช่วยคนรากหญ้าที่เป็นประชากรสูงสุดของประเทศ จึงไหลพรั่งพรูออกมาจากพรรคไทยรักไทยอย่างหลากหลาย ทั้งในรูปของสวัสดิการ เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือแม้แต่การเปิดช่องทางให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการเอสเอ็มแอล เป็นต้น
พี่สุรชัย ยกตัวอย่างกับตัวเองไว้น่าสนใจยิ่ง ตอนหนึ่งว่า หลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งนายก อบจ. ก็ต้องล้มป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรงพยาบาลเรียกค่ารักษาเป็นจำนวนเงินถึง 3 แสนบาท ซึ่งก็มีทางเลือกคือ หากเอาชีวิตไว้ก็ต้องขายบ้าน หมดเนื้อหมดตัว ยิ่งในยามอายุมากขึ้นจึงเป็นเรื่องที่คิดหนัก
แต่ก็เพราะมีบริการ 30 บาทรักษาทุกโรคนี่เอง ทุกขั้นตอนที่เข้าใช้บริการด้วยการส่งตัวจากโรงพยาบาลหนึ่งไปสู่โรงพยาบาลหนึ่ง ท้ายสุดจึงได้รับการผ่าตัดและรอดชีวิตมาได้ ด้วยเงินเพียง 30 บาทเท่านั้น...!!!
และยิ่งน่าประทับใจมากขึ้น เมื่อพี่สุรชัยกล่าวย้อนอดีตให้ฟังอีกว่า เมื่อเทียบกับตอนหนุ่มๆ ที่ประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมวิทยุโทรทัศน์ ได้รับอุบัติเหตุขาหัก และด้วยเป็นคนต่างจังหวัด เงินทองก็น้อย การเข้ารักษาพยาบาลจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง ต้องทำใจกลับมาทำงาน แม้กระทั่งต้องยกขาขึ้นพาดโต๊ะข้างหนึ่ง บัดกรีเชื่อมต่อแผงวงจรอย่างทุลักทุเล
และนี่เอง คือหนึ่งในแรงดลบันดาลใจที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่ทำลายทิศทางการพัฒนาของประชาชน และพัฒนาประเทศไทยที่ถูกทิศถูกทางแล้ว ให้ย้อนกลับไปสู่วิบากกรรมอีกครั้งเหมือนในอดีต ที่ไม่สามารถยอมรับได้...!!!
อีกตอนหนึ่ง พี่สุรชัยยังเปิดเผยถึงเรื่องราวในอดีตที่ถูกกล่าวหา เผาจวนผู้ว่าฯ และปล้นรถไฟ ด้วยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วยว่า เป็นเรื่องที่หดหู่อย่างยิ่งต่อกระบวนการยุติธรรมในยุคนั้น ขณะที่การเข้าสู่พรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่ใช่เพราะความเลื่อมใส แต่เป็นไปเพราะการกดขี่ข่มเหงจากอำนาจรัฐในยุคนั้นพลักดัน โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด...???
แต่กับกระบวนการยุติธรรมแล้วยิ่งหนักข้อ เพราะนอกจากจะไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาแล้ว จากจำนวนผู้ถูกจับกุมในยุคนั้นประมาณกว่า 17 คน
มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดีด้วยศาลทหาร ที่จะไม่มีทั้งการอุทธรณ์ การฎีกา ตามขั้นตอนทั่วไปที่ปฏิบัติกัน และก็ไม่ใช่อยู่ในช่วงของการประกาศกฎอัยการศึกแต่อย่างใดด้วย...???
ยิ่งเมื่อขึ้นศาลที่ผู้พิพากษาควรปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามกระบวนพิจารณาคดีด้วยความยุติธรรม แต่กลับมีอาการแข็งกร้าวทั้งท่าทีและวาจา ประหนึ่งจะต้องเอาเข้าคุกจองจำรับโทษให้ได้
ทำให้สะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม มีอยู่อย่างเหลือหลายมากมาย แม้กระทั่งในสถาบันศาลสถิตยุติธรรม ภายใต้การครอบงำของระบอบเผด็จการอำนาจนิยม...!!!
แต่สิ่งที่ดูจะหนักแน่นอย่างยากจะลบเลือนไปจากชีวิตของคนที่ชื่อสุรชัยผู้นี้ได้ หนึ่งก็คือ ความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะไม่มีวันเสื่อมคลาย เพราะชีวิตของเขาวันนี้ได้กลายเป็นชีวิตพระราชทานไปแล้ว...
และอีกหนึ่งก็คือ การยังคงอยู่เพื่อเรียกร้องความถูกต้องให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ให้เป็นที่สัมฤทธิผล โดยเขากล่าวว่า
“การที่ประชาชนต้องออกมาเรียกร้องหาความถูกต้อง หาความชอบธรรม และการดำรงชีวิตควมเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มันผิดด้วยหรือ...???
“และเมื่อคนที่ชื่อ สุรชัย ชีวิตเดินทางมาถึงวันนี้ ขอเพียงเป็นคนไทยที่ถูกจารึกข้อความไว้ที่หน้าหลุมฝั่งศพเท่านั้นว่า “สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ คือคนดีของแผ่นดิน”
เล่นเอาคนทั้งสภาสนามหลวงนิ่งอึ้งด้วยความตื้นตันใจ ในความมุ่งมั่นนี้อย่างยิ่ง...
พร ภัทร