WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, June 11, 2008

ฉะ!อารยะขัดขืนผิดรธน.มาตรา68 เศรษฐกิจชาติพัง

รุมจวกยับ “พันธมิตร” ยุประชาชนใช้อารยะขัดขืน เตือนระวังมีความผิดตาม รธน.มาตรา 68 ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง แถมหากไม่จ่ายภาษียังมีความผิดตามประมวลรัษฎากร ทั้งยังจะส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ที่ไม่กล้าเข้ามาลงทุนในเมืองไทย สร้างความเสียหายมหาศาล

จากกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่าจะมีการประกาศนำเอา “อารยะขัดขืน” มาใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน และเลื่อนออกมาเป็นวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา โดย นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ อ้างว่าอารยะขัดขืน จะไม่ขัดต่อกฎหมาย และเป็นสิทธิที่ประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมได้ ซึ่งอารยะขัดขืนจะมีตั้งแต่ระดับอ่อนสุดจนถึงแข็งที่สุด นั้น

ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ 2 (นปก.) กล่าวว่า การประกาศ “อารยะขัดขืน” จะใช้ได้ในกรณีที่รัฐบาลมาโดยไม่ชอบธรรม ประชาชนสามารถบอยคอตไม่ไปเสียภาษีได้ แต่ในกรณีของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มาจากการเลือกตั้งผ่านระบอบประชาธิปไตย

ส่อมีความตามผิดมาตรา68
โดยมาตรา 68 ที่ว่า บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ มิได้ ไม่สามารถทำได้ไม่ว่าจะใช้คำว่า อารยะขัดขืน หรือคำใดก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นไม่สามารถกระทำได้

ถ้าประชาชนผู้ใดกระทำตามอารยะขัดขืน ถือว่าผิดตามมาตรา 68 และถือว่าผิดในฐานะที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามหน้าที่ของพลเมือง ผิดตามหมวด 4 ว่าด้วยหน้าที่ของชนชาวไทย ในมาตรา 73 ของรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งทั้งหมดนี้ประชาชนจะเอามาอ้างเพื่อไม่จ่ายภาษีเป็นการกระทำที่ขัดต่ออำนาจของรัฐ ในกรณีที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเป็นรัฐบาลเผด็จการที่ยึดอำนาจมา ประชาชนมีสิทธิที่จะกระทำได้

ในเมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศออกมาอย่างนี้ ถือว่ากระทำผิดตามกฎหมาย ประชาชนสามารถที่จะเข้าแจ้งความได้ และเจ้าหน้าที่ของรัฐก็สามารถที่จะดำเนินการได้ อย่างกรณีที่ปิดถนนในตอนนี้ก็ถือว่าผิดกฎหมายอยู่แล้ว

ชี้ชัดเจตนาสร้างความวุ่นวาย
ส่วนกระบวนการดาวกระจายนั้น เป็นเจตนาที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการสร้างความวุ่นวายในประเทศ ซึ่งเป็นการก่อความไม่สงบซึ่งก็ถือว่าผิดกฎหมายชัดเจน ต้องเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบดำเนินการจับกุมได้เลย เพราะถือว่าใช้สิทธิและเสรีภาพในทางที่ไม่ชอบ

การร้องเรียนตามสถานที่ของกระบวนการยุติธรรมนั้น คนกลุ่มนี้อ้างว่ารัฐบาลเข้าไปแทรกแซงอำนาจของศาลในการตัดสินคดี แต่การเข้าไปอย่างนี้ของกลุ่มพันธมิตรฯ ยิ่งกว่าการเข้าไปแทรกแซงกดดันเสียอีก เพื่อที่จะให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการในกระบวนการที่ตนเองอยากจะให้เป็นตามอำเภอใจ ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นการผิดกฎหมายอยู่แล้ว การจะไปบังคับหรือดำเนินการใดๆ ก็ตามในกระบวนการยุติธรรมถือว่าทำให้เกิดความเบี่ยงเบนไม่เป็นธรรม

อยากเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรฯ กระทำการอยู่บนพื้นฐานกระบวนการของความยุติธรรมตามที่กลุ่มของตนเองได้เรียกร้อง เพราะฉะนั้นต้องปล่อยให้เป็นไปตามหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม เพราะตอนนี้กระบวนการยุติธรรมที่มีทั้ง คตส. และ ป.ป.ช. ก็เป็นคนของกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะเข้าไปกดดันอะไร

ระวังผิดกม.ภาษีอีกกระทง
ด้านนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท แกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯเตรียมสร้างเงื่อนไข “อารยะขัดขืน” โดยการปลุกระดมประชาชนไม่ให้ทำการเสียภาษี หยุดทำงานว่า การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯในการสร้างอารยะขัดขืน เป็นการกระทำที่ผิดอย่างชัดเจน อย่างเช่น การไม่เสียภาษีจะผิดตามประมวลกฎหมายรัษฎากร ซึ่งผู้กระทำและผู้ยุยงให้เกิดการกระทำอันกระด้างกระเดื่องย่อมผิดกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ใช่อารยะ เพราะคำนี้หมายถึงผู้เจริญ ประเทศที่เขาพัฒนาแล้วจะไม่มีการใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย

ห่วงเศรษฐกิจชาติย่อยยับ
“หากมีการทำอารยะขัดขืนอย่างที่พันธมิตรฯอ้างจริง จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง ซึ่งภาพที่จะเห็นได้ชัดเจนคือ การที่รัฐมนตรีจะเดินทางไปเจรจาทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ ก็จะพังเพราะชาวต่างชาติไม่กล้าลงทุน เม็ดเงินจากต่างประเทศไม่เข้ามาในชาติ และจะถูกมองด้วยว่าประเทศไม่มีกฎหมาย มีแต่กฎม็อบ ต้องบริหารประเทศเอาใจม็อบ” นายวิภูแถลงกล่าว

นอกจากนี้นายวิภูแถลงกล่าวเสริมว่า หากมีผู้ใด หรือองค์กรใดตอบรับแนวทางอารยะขัดขืนของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะเป็นกากกระชากหน้าการของผู้ที่ทำการสนับสนุน และส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหว ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมือง ภายหลังที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วเห็นใจรัฐบาลที่ไม่มีอำนาจจัดการอย่างเพียงพอ และไม่สามารถรับมือกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ด้วยวิธีทางกฎหมาย แต่ต้องใช้วิธีทางการเมือง เพราะหากพิจารณาดูแล้วกลุ่มพันธมิตรฯกระทำการอันผิดกฎหมายเต็มไปหมด เราจึงต้องยอมให้ใช้คำว่า รบเลว...ชนะเลว กับกลุ่มพันธมิตรฯ และปล่อยให้พวกนี้ลอยนวลพ้นการดำเนินคดีตามกฎหมาย

มั่นใจประชาชนไม่เห็นด้วย
ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รวมตัวชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล โดยการสร้างแนวร่วมที่เรียกว่าอารยะขัดขืนว่า เป็นวิธีการที่ทำกันมานาน ซึ่งจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าวหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับการชุมนุมดังกล่าว และยังต้องการให้รัฐบาลทำงานต่อ เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่มีความสำคัญต่อปากท้องประชาชนทั่วประเทศ ท่ามกลางภาวะปัญหาด้านราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ห่วงยิ่งทำบ้านเมืองถึงทางตัน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงการประกาศจุดยืนของกลุ่มพันธมิตรฯว่าจะยกระดับการต่อสู้โดยใช้วิธีอารยะขัดขืนโดยขอให้ข้าราชการไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ ประชาชนไม่เสียภาษี ปิดน้ำ ปิดไฟว่า กว่าครึ่งเดือนกลุ่มพันธมิตรฯได้ปักหลักชุมนุม และพันธมิตรฯประกาศต่อสู้ยกระดับขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งตนเห็นว่าตลอดการชุมนุมของพันธมิตรฯได้ประกาศยกระดับมาแล้วสองถึงสามครั้ง ไม่ได้หมายถึงการยกระดับการต่อสู้ แต่เป็นการยกระดับของแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งห้าคนให้อยู่เหนือกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้มีสถานะอภิสิทธิ์ชนในการพูด คิด ทำ และตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขอเรียนว่าปรากฏการณ์ที่พันธมิตรฯ หยิบยกขึ้นมาไม่สามารถนำไปสู่ทางออกของการแก้ปัญหาแต่จะทำให้ตกต่ำกว่าเดิมและจะนำไปสู่ทางตันของบ้านเมืองมากขึ้นและหนักขึ้น

ทั้งนี้นายกฯ รมว.ต่างประเทศ และบุคคลหลายภาคส่วนในรัฐบาลได้เน้นย้ำให้ทราบถึงความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจและยกเลิกการลงทุนในไทย ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินมหาศาล ดังนั้นอยากให้พันธมิตรฯ ได้ใช้สติที่นำไปสู่ปัญญาได้ตรองดูว่าการประกาศมาตรการเช่นนี้จะยิ่งส่งผลเลวร้ายต่อสถานการณ์บ้านเมืองมากน้อยแค่ไหน และถามว่ามาตรการเหล่านี้จะเป็นมาตรการที่จะหาทางออกให้กับบ้านเมืองได้จริงหรือ