เวทีสภาสนามหลวง อภิปรายมันหยด 3 วิทยากร ถล่มยับ ไอเดียหมอประเวศ สร้างความสับสน พร้อมย้อนเกร็ด 4 อดีตนายกฯบริหารประเทศล้มเหลว สร้างปัญหาคาราคาซังจนชาติวิกฤติมาแล้วถ้วนหน้า
ทั้งนี้ เมื่อค่ำคืนวันที่ 9 มิ.ย. เวทีสภาสนามหลวงยังคงมีบรรยากาศคึกคักไม่แพ้ค่ำคืนที่ผ่านๆ มา แม้จะมีสายฝนเทกระหน่ำลงมาก่อนหน้า แต่ก็หาทำให้ประชาชนลดถอยลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อช่วงไฮไลท์ “รัฐบาลแห่งชาติ อดีตนายกฯและริ้บบิ้นสีขาว .... ใช่ทางออกของประเทศไทยหรือไม่? ” ของเวที เมื่อเวลา 19.00 น. มาถึง ผู้สนใจต่างก็ทยอยออกมาจากที่หลบฝนเข้าร่วมรับฟังไม่ต่ำกว่า 2 พันคนเช่นเคย
โดยมีผู้ร่วมรายการบนเวทีประกอบด้วย นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท หนึ่งในแกนนำ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายสมชาย ไพบูลย์ อดีต ส.ข.เขตหนองแขม พรรคไทยรักไทย และ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดาตอร์ปิโด อดีตผู้สื่อข่าว ขณะที่ดร.เมธาพันธ์ โพธธีรโรจน์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ทั้งนี้ ภายหลัง ดร.เมธาพันธ์ กล่าวนำเสร็จ น.ส.ดารณี หรือคุณ ดา ตอร์ปิโด ให้ความเห็นว่า จากกรณีที่นายแพทย์ประเวศ วะสี ออกมากล่าวเสนอวิธีการแก้วิกฤติปัญหาบ้านเมืองโดยขอให้อดีตนายกรับมนตรี 4 คน มาช่วยให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหานั้น อยากถามไปถึงตัวนายแพทย์ประเวศ ว่ามีความชอบธรรมมากแค่ไหนที่ออกมาเสนอแนวทางแก้ปัญหาเช่นนี้ เพราะวิกฤติการต้องแก้ด้วยการเมือง ฉะนั้น อย่าออกมากล่าวถ้อยคำที่เป็นการสร้างความสับสนให้กับประชาชนในบ้านเมืองอีกเลย
ซึ่งนอกจากจะไม่มีความเป็นไปได้แล้ว อดีตนายกฯทั้ง 4 คน คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายชวน หลีกภัย และนายอนันต์ ปันยารชุน ก็ไม่เคยแก้ไขอะไรสำเร็จได้เลยสักอย่าง ซ้ำร้ายสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาที่มีการสะสมมานานของบ้านเมืองของบุคคลเหล่านี้ก็มีส่วนเกี่ยวพันต่อเนื่องมาโดยตลอดทั้งสิ้น อาทิ พล.อ.ชวลิต ประกาศการลดค่าเงินบาทสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมือง จนเป็นจุดกำเนิดแก๊งค์ต่อสู้ข้างถนนอย่างนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เพราะโดนพิษเศรษฐกิจของพล.อ.เชาวลิต เล่นงาน ขณะที่นายบรรหาร ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของบ้านเมืองเจ๊งไม่เป็นท่ามาแล้วเช่นกัน
น.ส.ดารณี กล่าวต่อไปว่า มาถึงนายชวน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขณะดำรงนายกรัฐมนตรีก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศเป็นหนี้ ไอเอ็มเอฟ ธุรกิจทั้งหลายพังทลายลงเพราะคนผู้นี้ ประชาชนต้องหนี้เป็นตั้งแต่เกิด และต้องใช้หนี้สินให้ต่างชาติ เป็นเวลาถึง 15 ปี หากว่าไม่ได้รับการแก้ไขให้สามารถใช้ได้หมดสิ้นก่อนและอัศวินม้าขาวที่แท้จริงก็คือ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่แก้ปัญหานี้ให้หมดไป
ส่วนนายอานันต์ บุคลนี้ทำทีเหมือนศรัทธาในประชาธิปไตย แต่การเป็นายกรัฐมนตรีก็มีที่มาเกิดจาการรัฐประหาร และนี้คือ 4 ผลงานอัปยศของ 4 ผู้เฒ่า ซึ่ง น.พ.ประเวศ อยากที่จะแนะนำให้มาช่วยกันร่วมกันแก้วิกฤติบ้านเมืองขณะนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วตนอยากจะกล่าวว่า อยากให้ช่วยหยุดความคิด และช่วยหยุดออกมากล่าวอะไรอีกเลยจะเป็นเรื่องดีที่สุด เพราะแต่ละเรื่องที่น.พ.ประเวศ เสนอมานั้นทำให้ประชาชนจะรู้สึกแย่กับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่มากขึ้นไปอีก
น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด ยังกล่าวถึงกรณีที่มี รศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ก่อตั้งกลุ่รณรงค์ไม่เข้าข้างฝ่ายเสนอให้ไม่ใช้ความรุนแรงและอยู่เป็นกลาง หรือริ้บบิ้นขาวนั้น ตนมองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาหรือเป็นทางออกที่ถูกต้อง ซึ่งตนเองก็ไม่นิยมความรุนแรงเช่นกัน แต่การวางเฉยต่อคนผิด เรื่องนี้พี่น้องประชาชนที่รักและศรัทธาในประชาธิปไตยคงไม่สามารถทำได้ ซึ่งการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ต้องใช้ระบบรัฐสภา
“จริงแล้วในสังคมประชาธิปไตยไม่มีวิธีคิดใดที่เป็นเรื่องผิดในการเสนอหนทางแก้ไข แต่อย่าออกมาสร้างความเดือดร้อนสับสนให้กับผู้อื่น อย่างพวกพันธมิตรฯ การกระทำที่ไม่เลือกฝักใฝ่ฝ่ายใด เหมือนจะดูดี แต่ถ้าไม่สามารถแก้ไขเรื่องราวอะไรได้ ก็อย่าอยู่บนหอคอยงาช้างแล้วมองดูปัญหาที่เกิดขึ้นเลย ซึ่งในวันนี้ถ้าไม่ยอมเลือกข้างแล้วยังแก้ปัญหาในระบบรัฐสภาได้ พวกเราจะสามารถตอบคำถามต่างชาติได้อย่างไรว่า ตกลงแล้วประเทศไทยปกครองในระบอบอะไรกันแน่ ดังนั้น เราจึงต้องร่วมพลังและบอกกล่าวให้ทุกคนได้รับรู้ถึงวิธีการที่ถูกต้องและแท้จริง ดิฉันในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่สิทธิหนึ่งเสียงเท่ากับบุคคลอื่นทั่วจะไม่ยอมให้ใครมาชี้นำเด็ดขาด” น.ส.ดารณี กล่าว
ด้านนายสมชาย ไพบูลย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ขณะนี้ประชาชนคนไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่กลับมีคนแก่เพียงคนเดียวออกมาเรียกร้องจะเอารัฐบาลแห่งชาติ แล้วบอกว่านี่เป็นหนทางแก้ไข การร้องจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติควรจะจบสิ้นไปตั้งแต่ที่มีการออกมาขับไล่อดีตนายกฯทักษิณแล้ว เพราะช่วงนั้นปัญหาบ้านเมืองมาถึงทางตัน แต่ว่าปัจจุบันนี้มันไม่ใช่
ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้เชิญอดีตนายกฯทั้ง 4 มาช่วยกันแก้วิกฤติชาติ นายสมชาย ให้ความเห็นว่า ทำไมจะต้องไปขอให้คนอื่นช่วย เมื่อประชาชนได้เลือกนายกฯสมัคร สุนทรเวช เข้ามาบริหารบ้านเมือง แต่สิ่งที่ควทำมากที่สุดกลับไม่ทำ คือการเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลออกมาร่วมชี้แจงและแสดงความคิดเห็นเพื่อแสดงความเหนี่ยวแน่นให้ประชาชนเห็น ตรงนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และที่สำคัญตนอยากจะบอกถึงนายชวน หลีกภัย ว่าไม่ต้องออกมาช่วยเคลียร์ปัญหาให้เสียเวลา เพียงแค่นายชวน เรียกตัวนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ สมาชิกพรรคที่สอบได้และสอบตก กลับเข้าพรรคไปทั้งหมด ก็พอแล้ว เพราะที่อยู่ข้างเวทีพันธมิตรฯทั้งหมดเป็นประชาธิปัตย์
“แนวความคิดของ น.พ.ประเวศควรจะพอเสียที เพราะเสนอไปแล้ว 2 เรื่อง ไม่มีใครเห็นชอบและยอมรับเลยสักเรื่อง” นายสมชาย กล่าว และเปิดเผยต่อถึงประเด็นริบบิ้นสีขาวด้วยว่า เหตุการณ์บ้านเมืองมาถึงขั้นนี้แล้ว ควรมีอะไรที่ดีกว่าความเป็นกลางได้แล้ว ตนจึงอยากถาม อาจารย์ปริญญา ว่า ด้วยสถานะความเป็นอาจารย์ หากเห็นคนทำผิด แล้วบอกว่าจะไม่ยุ่ง เพราะถือความเป็นกลาง เป็นเรื่องถูกต้องแล้วหรือ
ด้านนายวิภูแถลง กล่าวเสริมว่า วันนี้ต้องไปถามคนของประชาธิปัตย์และพันธมิตรฯว่า หลักการของประชาธิปไตยอยู่ไหน ซึ่งหลักการของประชาธิปไตยนั้นคือ การที่เสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก แต่เมื่อครั้งเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ประชาชนลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกและได้รับประชามติถึง 233 ที่นั่งในรัฐสภาแล้ว ยังจะออกมาโวยวายต้องการอะไรอีก เพราะเรื่องนี้ได้มีการต่อสู้แข่งขันกันถูกต้องตามกติกาทุกอย่างไปแล้ว
“ดังนั้น หากพวกพันธมิตรฯหรือประชาธิปัตย์ไม่พอใจหรือไหมอย่างไรก็ตาม พวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธกติกาไปไม่ได้ ถึงจะพยายามหาวิธีการใดมาใช้ก็ไม่ทางสำเร็จไปได้” นายวิภูแถลงกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อค่ำคืนวันที่ 9 มิ.ย. เวทีสภาสนามหลวงยังคงมีบรรยากาศคึกคักไม่แพ้ค่ำคืนที่ผ่านๆ มา แม้จะมีสายฝนเทกระหน่ำลงมาก่อนหน้า แต่ก็หาทำให้ประชาชนลดถอยลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อช่วงไฮไลท์ “รัฐบาลแห่งชาติ อดีตนายกฯและริ้บบิ้นสีขาว .... ใช่ทางออกของประเทศไทยหรือไม่? ” ของเวที เมื่อเวลา 19.00 น. มาถึง ผู้สนใจต่างก็ทยอยออกมาจากที่หลบฝนเข้าร่วมรับฟังไม่ต่ำกว่า 2 พันคนเช่นเคย
โดยมีผู้ร่วมรายการบนเวทีประกอบด้วย นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท หนึ่งในแกนนำ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายสมชาย ไพบูลย์ อดีต ส.ข.เขตหนองแขม พรรคไทยรักไทย และ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดาตอร์ปิโด อดีตผู้สื่อข่าว ขณะที่ดร.เมธาพันธ์ โพธธีรโรจน์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ทั้งนี้ ภายหลัง ดร.เมธาพันธ์ กล่าวนำเสร็จ น.ส.ดารณี หรือคุณ ดา ตอร์ปิโด ให้ความเห็นว่า จากกรณีที่นายแพทย์ประเวศ วะสี ออกมากล่าวเสนอวิธีการแก้วิกฤติปัญหาบ้านเมืองโดยขอให้อดีตนายกรับมนตรี 4 คน มาช่วยให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหานั้น อยากถามไปถึงตัวนายแพทย์ประเวศ ว่ามีความชอบธรรมมากแค่ไหนที่ออกมาเสนอแนวทางแก้ปัญหาเช่นนี้ เพราะวิกฤติการต้องแก้ด้วยการเมือง ฉะนั้น อย่าออกมากล่าวถ้อยคำที่เป็นการสร้างความสับสนให้กับประชาชนในบ้านเมืองอีกเลย
ซึ่งนอกจากจะไม่มีความเป็นไปได้แล้ว อดีตนายกฯทั้ง 4 คน คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายชวน หลีกภัย และนายอนันต์ ปันยารชุน ก็ไม่เคยแก้ไขอะไรสำเร็จได้เลยสักอย่าง ซ้ำร้ายสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาที่มีการสะสมมานานของบ้านเมืองของบุคคลเหล่านี้ก็มีส่วนเกี่ยวพันต่อเนื่องมาโดยตลอดทั้งสิ้น อาทิ พล.อ.ชวลิต ประกาศการลดค่าเงินบาทสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมือง จนเป็นจุดกำเนิดแก๊งค์ต่อสู้ข้างถนนอย่างนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เพราะโดนพิษเศรษฐกิจของพล.อ.เชาวลิต เล่นงาน ขณะที่นายบรรหาร ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของบ้านเมืองเจ๊งไม่เป็นท่ามาแล้วเช่นกัน
น.ส.ดารณี กล่าวต่อไปว่า มาถึงนายชวน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขณะดำรงนายกรัฐมนตรีก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศเป็นหนี้ ไอเอ็มเอฟ ธุรกิจทั้งหลายพังทลายลงเพราะคนผู้นี้ ประชาชนต้องหนี้เป็นตั้งแต่เกิด และต้องใช้หนี้สินให้ต่างชาติ เป็นเวลาถึง 15 ปี หากว่าไม่ได้รับการแก้ไขให้สามารถใช้ได้หมดสิ้นก่อนและอัศวินม้าขาวที่แท้จริงก็คือ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่แก้ปัญหานี้ให้หมดไป
ส่วนนายอานันต์ บุคลนี้ทำทีเหมือนศรัทธาในประชาธิปไตย แต่การเป็นายกรัฐมนตรีก็มีที่มาเกิดจาการรัฐประหาร และนี้คือ 4 ผลงานอัปยศของ 4 ผู้เฒ่า ซึ่ง น.พ.ประเวศ อยากที่จะแนะนำให้มาช่วยกันร่วมกันแก้วิกฤติบ้านเมืองขณะนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วตนอยากจะกล่าวว่า อยากให้ช่วยหยุดความคิด และช่วยหยุดออกมากล่าวอะไรอีกเลยจะเป็นเรื่องดีที่สุด เพราะแต่ละเรื่องที่น.พ.ประเวศ เสนอมานั้นทำให้ประชาชนจะรู้สึกแย่กับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่มากขึ้นไปอีก
น.ส.ดารณี หรือดา ตอร์ปิโด ยังกล่าวถึงกรณีที่มี รศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ก่อตั้งกลุ่รณรงค์ไม่เข้าข้างฝ่ายเสนอให้ไม่ใช้ความรุนแรงและอยู่เป็นกลาง หรือริ้บบิ้นขาวนั้น ตนมองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาหรือเป็นทางออกที่ถูกต้อง ซึ่งตนเองก็ไม่นิยมความรุนแรงเช่นกัน แต่การวางเฉยต่อคนผิด เรื่องนี้พี่น้องประชาชนที่รักและศรัทธาในประชาธิปไตยคงไม่สามารถทำได้ ซึ่งการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ต้องใช้ระบบรัฐสภา
“จริงแล้วในสังคมประชาธิปไตยไม่มีวิธีคิดใดที่เป็นเรื่องผิดในการเสนอหนทางแก้ไข แต่อย่าออกมาสร้างความเดือดร้อนสับสนให้กับผู้อื่น อย่างพวกพันธมิตรฯ การกระทำที่ไม่เลือกฝักใฝ่ฝ่ายใด เหมือนจะดูดี แต่ถ้าไม่สามารถแก้ไขเรื่องราวอะไรได้ ก็อย่าอยู่บนหอคอยงาช้างแล้วมองดูปัญหาที่เกิดขึ้นเลย ซึ่งในวันนี้ถ้าไม่ยอมเลือกข้างแล้วยังแก้ปัญหาในระบบรัฐสภาได้ พวกเราจะสามารถตอบคำถามต่างชาติได้อย่างไรว่า ตกลงแล้วประเทศไทยปกครองในระบอบอะไรกันแน่ ดังนั้น เราจึงต้องร่วมพลังและบอกกล่าวให้ทุกคนได้รับรู้ถึงวิธีการที่ถูกต้องและแท้จริง ดิฉันในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่สิทธิหนึ่งเสียงเท่ากับบุคคลอื่นทั่วจะไม่ยอมให้ใครมาชี้นำเด็ดขาด” น.ส.ดารณี กล่าว
ด้านนายสมชาย ไพบูลย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ขณะนี้ประชาชนคนไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่กลับมีคนแก่เพียงคนเดียวออกมาเรียกร้องจะเอารัฐบาลแห่งชาติ แล้วบอกว่านี่เป็นหนทางแก้ไข การร้องจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติควรจะจบสิ้นไปตั้งแต่ที่มีการออกมาขับไล่อดีตนายกฯทักษิณแล้ว เพราะช่วงนั้นปัญหาบ้านเมืองมาถึงทางตัน แต่ว่าปัจจุบันนี้มันไม่ใช่
ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้เชิญอดีตนายกฯทั้ง 4 มาช่วยกันแก้วิกฤติชาติ นายสมชาย ให้ความเห็นว่า ทำไมจะต้องไปขอให้คนอื่นช่วย เมื่อประชาชนได้เลือกนายกฯสมัคร สุนทรเวช เข้ามาบริหารบ้านเมือง แต่สิ่งที่ควทำมากที่สุดกลับไม่ทำ คือการเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลออกมาร่วมชี้แจงและแสดงความคิดเห็นเพื่อแสดงความเหนี่ยวแน่นให้ประชาชนเห็น ตรงนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และที่สำคัญตนอยากจะบอกถึงนายชวน หลีกภัย ว่าไม่ต้องออกมาช่วยเคลียร์ปัญหาให้เสียเวลา เพียงแค่นายชวน เรียกตัวนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ สมาชิกพรรคที่สอบได้และสอบตก กลับเข้าพรรคไปทั้งหมด ก็พอแล้ว เพราะที่อยู่ข้างเวทีพันธมิตรฯทั้งหมดเป็นประชาธิปัตย์
“แนวความคิดของ น.พ.ประเวศควรจะพอเสียที เพราะเสนอไปแล้ว 2 เรื่อง ไม่มีใครเห็นชอบและยอมรับเลยสักเรื่อง” นายสมชาย กล่าว และเปิดเผยต่อถึงประเด็นริบบิ้นสีขาวด้วยว่า เหตุการณ์บ้านเมืองมาถึงขั้นนี้แล้ว ควรมีอะไรที่ดีกว่าความเป็นกลางได้แล้ว ตนจึงอยากถาม อาจารย์ปริญญา ว่า ด้วยสถานะความเป็นอาจารย์ หากเห็นคนทำผิด แล้วบอกว่าจะไม่ยุ่ง เพราะถือความเป็นกลาง เป็นเรื่องถูกต้องแล้วหรือ
ด้านนายวิภูแถลง กล่าวเสริมว่า วันนี้ต้องไปถามคนของประชาธิปัตย์และพันธมิตรฯว่า หลักการของประชาธิปไตยอยู่ไหน ซึ่งหลักการของประชาธิปไตยนั้นคือ การที่เสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก แต่เมื่อครั้งเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ประชาชนลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกและได้รับประชามติถึง 233 ที่นั่งในรัฐสภาแล้ว ยังจะออกมาโวยวายต้องการอะไรอีก เพราะเรื่องนี้ได้มีการต่อสู้แข่งขันกันถูกต้องตามกติกาทุกอย่างไปแล้ว
“ดังนั้น หากพวกพันธมิตรฯหรือประชาธิปัตย์ไม่พอใจหรือไหมอย่างไรก็ตาม พวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธกติกาไปไม่ได้ ถึงจะพยายามหาวิธีการใดมาใช้ก็ไม่ทางสำเร็จไปได้” นายวิภูแถลงกล่าว