WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, June 11, 2008

เสียดายโอกาส

ก่อนหน้านี้เคยมีคนออกมาแสดงความเป็นห่วงว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของเวียดนามจะส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนจากทุนต่างชาติ ที่ไหลเข้าไปในเวียดนามเป็นจำนวนมหาศาล

ซึ่งในจำนวนนั้นส่วนใหญ่น่าจะเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสิ่งทอที่เมืองไทยเคยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ก็มีการย้ายฐานการผลิตไปหลายราย จนมูลค่าการส่งออกด้านสิ่งทอของไทยกับเวียดนามมีตัวเลขแทบไม่แตกต่างกัน

จำได้ว่าในช่วงหลังการปฏิวัติรัฐประหารใหม่ๆ เคยมีนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องประเทศเวียดนามออกมาให้กำลังใจนักลงทุนว่า เวียดนามยังไม่สามารถตามทันประเทศไทยได้ง่ายๆ แน่ เพราะบางอย่างเป็นเรื่องการสั่งสม และมีการพัฒนามาเป็นขั้นเป็นตอน

ไม่ใช่เรื่องที่การพัฒนาแบบก้าวกระโดดจะทำให้ตามทันกันได้ในเร็ววัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเส้นทางการคมนาคม ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์

แม้ว่าเวียดนามจะคิดเร็ว ทำเร็ว มีการตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ไปแล้ว ทั้งที่เมืองไทยยังตั้งท่าคัดค้าน และไม่มีใครกล้าดำเนินการ หรือแม้แต่การสร้างสนามบินใหม่ถึง 2 แห่ง การสร้างโครงข่ายระบบรางเพื่อรองรับการขนส่งสินค้า ที่ทำรวดเดียว 6 สาย ตามมาด้วยอีกหลายโครงการ

แต่ผู้รู้ก็ยังยืนยันว่าการลงทุนของไทยยังสามารถเดินไปได้ แม้ว่าเวียดนามจะหายใจรดต้นคอ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่ไล่ทันไทยเราได้ หากเราไม่ไปสะดุดขาตัวเองให้เขาแซงหน้าไปเสียก่อน

ในขณะที่ตอนนั้นผู้นำเวียดนามเองก็เป็นคนหนุ่ม คิดเร็ว ทำเร็ว มีบุคลิกลีลาในการบริหารงานละม้ายคล้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เชื่อว่าฝีไม้ลายมือพอฟัดพอเหวี่ยง และสู้กันได้สบาย

แต่ประเทศไทยเราก็มีกลุ่มคนออกมาชุมนุมประท้วง เชื้อเชิญให้ทหารออกมาทำการปฏิวัติ และมีรัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น (สับปะรด) มาบริหารบ้านเมือง จนทำให้เราเสียโอกาสอย่างยิ่งใหญ่ไปแล้วครั้งหนึ่ง

หากได้ศึกษาลงลึกไปถึงรายละเอียดของมูลค่าการลงทุนในเวียดนามแล้ว ก็จะเห็นชัดว่าประเทศไทยเสียโอกาสไปเท่าไร เพราะในช่วงที่บ้านเมืองไทย อยู่ในช่วงเผด็จการ รัฐบาลมาจากการยึดอำนาจนั้น แม้แต่เจ้าพ่อไมโครซอฟท์อย่าง บิล เกตส์ ก็ยังเลือกที่จะเดินทางไปเยือนเวียดนาม เพื่อดูลู่ทางการลงทุน พร้อมกับตัดสินใจเปิดไลน์การผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์บางส่วนไปแล้ว

นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า มีโอกาสสูงมากที่เวียดนามจะแซงหน้าเราได้ในเร็ววัน เพราะแม้รัฐบาลเวียดนามจะปกครองโดยระบอบสังคมนิยม แต่นั่นก็หมายถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาดและรวดเร็ว และที่สำคัญเวียดนามไม่ได้มีปัญหาการเมืองที่ทำลายความเชื่อมั่นเหมือนอย่างบ้านเรา

ขณะที่มาถึงวันนี้ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นช่วงเวลาของการเรียกความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติกลับคืนมา แต่ก็น่าเสียดาย เพราะรัฐบาลยังไม่ทันได้มีโอกาสทำงาน ไม่มีโอกาสได้กอบกู้วิกฤตการณ์ใดๆ

ก็ต้องมานั่งห่วงหน้าพะวงหลังกับกลุ่มบ่อนทำลาย ที่คอยขัดแข้งขัดขา และที่สำคัญ ทำลายความเชื่อมั่นของต่างชาติซ้ำสอง ที่ทำให้ถูกมองยาวไปอีกว่ าแม้บ้านเมืองสงบได้ แต่ประเทศไทยก็พร้อมจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองได้ทุกเมื่อ

เป็นภาพเดียวกับที่นักลงทุนต่างชาติเคยมองอย่างไม่มั่นใจต่อเสถียรภาพทางการเมืองของพม่า และกัมพูชา จนเป็นเหตุให้ทั้ง 2 ประเทศ ยังคงเป็นประเทศล้าหลังอยู่อย่างทุกวันนี้

และที่ยิ่งน่าเสียดายเป็นคำรบที่สอง สาม ตามมาก็คือ ในวันนี้ประเทศเวียดนามที่พยายามเติบโตอย่างก้าวกระโดดกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก

ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 25% ในขณะที่ตัวเลขขาดดุลการค้าก็สูงจนน่าตกใจ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็พลอยได้รับผลกระทบกันไปทั่ว และแน่นอนว่าได้สร้างความหวั่นไหวให้กับนักลงทุน ที่กำลังตัดสินใจใช้ประเทศเอเชียเป็นศูนย์กลางการผลิต

แน่นอนว่าในตัวเลือกที่มีอยู่ หากนักลงทุนละความสนใจจากประเทศเวียดนาม โอกาสทองก็น่าจะเป็นของประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่นใด

แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเลวร้าย ที่มีคนเพียงหยิบมือออกมาปักหลักท้ากฎหมาย ขับไล่รัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย เป็นภาพที่ชาวโลกรับไม่ได้

และคงไม่ผิดหากจะบอกว่า พวกพันธมิตรฯ ที่ออกมาชุมนุมอยู่ขณะนี้ เป็นพวกทำลายชาติโดยแท้...!!

บิ๊กโบ๊ต