แม้จะเป็นอีกหนึ่งมุมมองของ “สื่อ” ในการนำเสนอภาพเด็กตัวเล็กตัวน้อยที่ติดสอยห้อยตามบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่บัดนี้ได้กลายเป็นเทรนด์ไปแล้วในการพา “เด็ก” มาร่วม “ม็อบ”การจับให้เด็กแต่งตัวตามบรรยากาศ ใส่หมวก ถือธง คาดผ้าโพกหัว ลักษณะไม่ต่างกับการเชียร์ฟุตบอลโลกสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นก็คือ “เด็ก” ยังไงก็น่ารัก..สมวัยแล้วสิ่งที่เด็กได้เห็นล่ะ..?
มลภาวะทางการมองเห็น-ภาพที่บรรดาผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ทั้งไม้เบสบอล หมวกกันน็อก ถูกนำมาเป็นเครื่องมือและเครื่องป้องกันมลภาวะทางอาหาร-อาหารกล่องในสถานที่ที่ไม่เหมาะแก่การรับประทาน เวลากินไม่ได้กิน เวลานอนไม่ได้นอนมลภาวะทางสัมผัส-กลิ่นฉี่ตลบอบอวลไปพร้อมๆ กับมลพิษทางอากาศที่ต้องรับลม โดนแดดและเปียกฝน ไหนจะโรคภัยที่จะตามมาจากเชื้อที่เกิดและแพร่กระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะกับที่ที่มีคนหมู่มากมาอยู่กินอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ
มลภาวะทางเสียง-ที่ดังเกินที่หูมนุษย์จะรับไหว คำพูดคำจาที่สาดเข้าใส่กันเองแต่
ความหมายด่าฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะสัมผัสทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งหมดส่งผลโดยตรงต่อประสาท “ผู้ใหญ่ยังแย่..แล้วเด็กจะเหลืออะไร”ในภาวะบ้านเมืองปกติ “เด็ก” เหล่านี้ก็คือแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ที่เฝ้าดูแลและทะนุถนอมเป็นอย่างดี..ไม่ใช่หรือ?การเข้าร่วมชุมนุมจะทำให้ “เด็ก” เรียนรู้คำว่า “ประชาธิปไตย” ได้มากน้อยแค่ไหนเป็นเรื่องของอนาคต แต่สิ่งที่ “เด็ก” ได้เห็นและรับไปแล้ววันนี้ คือ การ “ซึมซับ” ตามวัยแห่งการเรียนรู้ รวมถึง “พฤติกรรมเลียนแบบ”
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา “พระพยอม กัลยาโณ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ไปเทศน์ชาวบ้านที่จังหวัดพิจิตร และได้พูดถึงความห่วงใยการนำลูกเด็กเล็กแดงไปร่วมเวทีม็อบที่มีแต่คำผรุสวาทหยาบคาย พร้อมระบุถึงความเหมาะสมที่จะให้มีกฎหมายเอาผิดกับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ฟังดูแล้วก็เป็นเพียงข้อห่วงใยหนึ่งเท่านั้น ถ้ากลุ่มพันธมิตรฯ จะมีมโนธรรมหรือคุณธรรมบ้างก็คงเป็นเรื่องที่ดี แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น..!“สนธิ ลิ้มทองกุล” 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีสาดเสียเทเสียพระพยอมช่วงกลางดึกวันนั้นทันที เพียงเพราะเหตุผลที่ว่าพระพยอมไม่ไปด่าฝั่งศัตรู (หมายถึง นายสมัคร สุนทรเวช ที่ใช้วาจาหยาบคายบ่อยครั้ง) จึงกลายเป็นว่า “พระพยอม” ในสายตาพันธมิตรฯ ไม่เคยเทศน์อะไรที่ดีต่อบ้านเมืองเลย
“พระพยอมครับ ช่วยเปล่งสาธุการด้วยการโห่ให้พระพยอมหน่อย ผมนี่เป็นคนที่เคารพพระเคารพเจ้า ผมบวชเรียนมา 2 ครั้ง ผมมีแต่พ่อแม่ครูอาจารย์ที่สอนให้ผมเอาธรรมนำหน้า ไม่เคยสอนให้ผมเลียไข่รัฐบาล ถ้าพระคุณเจ้าพระพยอมอยากจะพูดเตือนว่าพูดจาต้องสุภาพ ทำไมไม่ไปเตือนนายกฯ เป็นพระเป็นเจ้ายังไม่รู้จักเทศน์ว่าควรจะเทศน์ให้ใครฟัง มาเทศน์ให้พวกเราซึ่งเอาธรรมนำหน้าตลอดเวลาเลยใช่ไม่ใช่ พรรษาผมน้อยกว่าท่านมาก ผมบวชมา 2 ครั้ง ครั้งละเดือนกว่า แต่ผมปฏิบัติธรรม จิตผมสงบ ผมปล่อยวาง เมื่อไหร่ท่านจะปล่อยวางซะที เพราะถ้าเมื่อท่านไม่ปล่อยวาง ท่านก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่อยู่ในผ้าเหลือง”
เป็นอะไรกันไปแล้วคนไทย เป็นอะไรกันไปแล้วพันธมิตรฯ !!
ช่วงที่มีข่าวปัญหาการจราจร เด็กนักเรียนต้องเดือดร้อนเพราะการปิดถนน ตัวแทนกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาบอกว่า “โรงเรียนและนักเรียนควรจะเสียสละบ้าง”
มาคราวนี้พระผู้ใหญ่เทศน์สั่งสอนเข้าให้ก็ด่ากลับ โดยไม่พูดถึงความเป็นจริงในสิ่งที่พระท่านเตือนว่า การเอา “เด็ก” มาร่วมนั้นเป็นสิ่ง “ไม่ควร” หรือไม่อย่างไรก็ดี ระหว่างการเทศน์ของพระพยอม ได้พูดถึงข้อดีการปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ทำให้ประชาชนได้รับรู้ในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรในการบริหารประเทศ นั่นแสดงว่าพระพยอมเองก็เป็นแฟนรายการปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยเช่นกันเมื่อทางนั้นเขาตอกกลับมาอย่างนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร??กลายเป็นคำถามที่ “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” เพราะไม่อยากดึงให้ดาวต้องมาเปื้อนดิน
เมืองไทยเราได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ มี “พระพุทธศาสนา” เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจยามว้าวุ่น หากวันนี้การเมืองได้เข้าครอบงำจิตใจจนเบียดบังความรู้สึกนึกคิด โดยที่หลักธรรมคำสอนในศาสนาหรือจากผู้ที่อยู่ในศาสนา ไม่สามารถช่วยเยียวยา “จิตใจ” ผู้คนได้อะไรจะเกิดขึ้น..!หากทำใจเป็นกลาง..มองดูการปฏิเสธท่าทีจากผู้หวังดีทุกรูปแบบของกลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งแต่การปฏิเสธกลุ่ม “พลังสีขาว” เรื่อยมาถึงการต่อว่าพระพยอมที่ออกมาแสดงความเห็นและเป็นห่วง “เยาวชนของชาติ”อาจมองเห็นได้ว่า..แท้จริงแล้ว “ใคร” กัน? น่าเป็นห่วงที่สุด!!