WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, June 12, 2008

ความพิกลพิการของสังคมไทย

สถานการณ์ของบ้านเมืองไทย ยิ่งนานวันเข้ายิ่งเห็นอะไรแปลกๆ ที่ทั้งความคิด ทั้งการกระทำ ดูจะผิดไปจากสังคมโลกที่พัฒนาแล้วจะพึงปฏิบัติ และยึดถือเป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกัน...

ยิ่งได้อ่านความคิดเห็นของสาธารณชนทั่วไปบนเว็บไซต์หลายๆ แห่ง ยิ่งได้กลับบ้านไปนั่งชมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในช่วงนี้ แล้วย้อนกลับมาดูสภาพของสังคมไทย ก็ยิ่งทำให้เวทนาไปไกลสุดกู่จริงๆ...???

ยังไงวันนี้ก็ต้องขอบ่นตามประสาคนไทยคนหนึ่ง ให้ได้ยินกันสักวัน...

เริ่มต้นที่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ซึ่งจะว่าไปแล้ว ผู้เล่นๆ กันแรง เสียบกันที เข้าบอลกันที หนักหน่วง แต่ทุกคนดูจะมีสำนึกแห่งความเป็นนักกีฬา คือเล่นอยู่ในเกม ให้อภัยกัน เพราะอาจมีลูกติดพันกันบ้าง

ขณะที่คนดู เรียกว่าถึงหลัก 5 หมื่น 6 หมื่นคน ก็ส่งเสียงเชียร์ทีมของตน ทั้งอินเข้าไปในจิตวิญญาณ และก็ทั้งสนุกสนานผสมผสานกันไปอย่างน่าชมเชย

ด้านกรรมการ ทั้งในสนาม ทั้งกรรมการริมเส้น ต่างก็ทำหน้าที่เป็นกลางอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ทั้งผู้เล่น ผู้ชม สะกดอารมณ์ให้อยู่ภายในขอบเขตได้ เพราะยอมรับต่อการตัดสินที่มีเหตุและผล สามารถอธิบายได้

เรียกว่าไม่ขัดสายตาของผู้เล่นและผู้ชมไปอย่างสุดกู่ หรือหากจะพูดอีกแบบก็คือ กรรมการไม่ได้เติมเชื้อเพลิงอารมณ์ให้ลุกโชนมากขึ้นไปอีก หากผิดหวัง...

โอ้...แต่เมื่อนำมาเทียบกับบ้านเราแล้ว ผู้เล่นลองเสียบบอลกันแบบนี้ดูสิ เห็นทีผู้ชมอาจได้เห็นฟุตบอลสลับมวยคั่นเวลาให้ตื่นตาตื่นใจด้วยเป็นแน่...

ขณะที่กองเชียร์อาจได้เห็นซีกหนึ่งของอัฒจันทร์คนดู มีกลุ่มกองเชียร์บ้าคลั่งกลุ่มหนึ่ง เดินสะพายไม้ตีเบสบอล ราวกับเป็นกองทัพที่เมามัน พร้อมที่จะใช้กำลังเข้าตะลุมบอนกับกองเชียร์อีกฝากหนึ่งให้ถึงเลือดถึงเนื้อได้อย่างดุดัน

ส่วนกรรมการบ้านเรา ที่ทุกคนคาดหวังความเป็นกลาง ท่าทางไปๆ มาๆ ก็เอียงกระเท่เร่ เป่าวี้ดๆ ชี้ให้อีกฝ่ายฟาล์วบ้าง ให้ใบเหลือง ใบแดง อยู่ข้างเดียว ประหนึ่งได้รับอาณัติสัญญาณ ตั้งธงไว้แล้ว ให้ช่วยอีกฝ่ายหนึ่งอย่างสุดลิ่ม

จึงเป็นธรรมดาที่กองเชียร์อีกฟากก็ต้องโห่ไล่กรรมการ เคราะห์ยังดีที่อีกฝ่ายยังคงทำประตูนำเป็นชัยชนะอยู่ อาการที่กองเชียร์จะต้องเกิดอารมณ์ กระโดดข้ามอัฒจันทร์จากการออกมายั่วยุของกองเชียร์อีกฝ่ายจึงยังไม่เกิดขึ้น

เพราะรู้ทันว่า หากเกิดปะทะขึ้นแล้ว คณะกรรมการใหญ่คงต้องสั่งระงับการแข่งขัน แล้วก็ล้มเลิกแมตช์แข่งขัน ล้มกระดานในทันที ทั้งที่อีกฝ่ายยิงประตูนำไปแล้ว...!!!

กลับมาดูการเมืองในขณะนี้ของบ้านเราบ้าง วันนี้ พรรคพลังประชาชนได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นจากประชาชน ให้เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ หลังจากเผด็จการ คมช. ยึดอำนาจไปแล้วปีกว่าๆ

แทนที่พรรคการเมืองคู่แข่งจะมีสปิริต ยอมรับการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ แต่ก็ยังเล่นไม่เลิกเพื่อเอาชนะให้ได้ เรียกว่าทั้งใต้ดิน บนดิน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ใช้เล่ห์กลทุกทางเพื่อล้มรัฐบาลให้ได้ ทั้งที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 4 เดือน โดยไม่คำนึงว่าประเทศชาติโดยส่วนรวมจะเสียหายอย่างไร...???

เปรียบได้กับที่คุณ poonnok ที่โพสต์ความเห็นในเว็บบอร์ดประชาไทไว้ว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นขณะนี้ คือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐของ 2 ระบอบ...???

ระบอบหนึ่งคือ...ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้รับชัยชนะจากเสียงของประชาชน โดยมีตัวแทนคือ พรรคพลังประชาชน กับอีกระบอบหนึ่งก็คือ อำมาตยาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งก็มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนของระบอบ ได้รับเลือกเข้ามาเป็นเสียงข้างน้อย

และนี่ก็คือความจริงที่อยู่เบื้องหลังวิกฤติการเมืองของบ้านเราในขณะนี้ แต่เรื่องก็น่าจะจบ หากฝ่ายที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งยอมรับกติกา ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่...

ตัดชอตเข้ามาสู่กองเชียร์ของอำมาตยาธิปไตย ที่เห็นอยู่ก็คือ กลุ่มพันธมิตร-พันธมาร ที่กำลังสร้างเรื่อง สร้างความวุ่นวาย เป็นองค์ประกอบล้มล้างรัฐบาลอย่างหน้าด้านๆ เพื่อให้พรรคตัวแทนของฝ่ายตนเข้าไปยึดกุมอำนาจรัฐแทนฝ่ายประชาธิปไตย

ประกาศจัดตั้งเมืองพันมิตร มีกองกำลังเดินสวมหมวกกันน็อก ตระเวนสอดส่อง ถือกระบอง สะพายกระบอง คอยปกป้องไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินการ ทั้งที่ได้กระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายต่อหลายกระทง

เรียกว่า สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นแก่บ้านเมืองทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่พรรคการเมืองตัวแทนอำมาตยาธิปไตย เตรียมจะลากเอาเป็นข้ออ้างถล่มรัฐบาลในรัฐสภาให้ขาดความชอบธรรม...!!!

หันมาดูองค์กรอิสระ หรือไม่ก็กรรมการของบ้านเรา ก็สุดวังเวง เพราะแทนที่จะยืนอยู่ในความเป็นกลาง แต่ก็ยังดันทุรัง ไม่สน ไม่ไยดีต่อภาพลักษณ์ของสถาบันที่ประชาชนกำลังจับจ้องดูอยู่อย่างไม่คลาดสายตา

ไหนจะ คตส. ที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นแบบอย่างของศาลเตี้ย ที่ย้อนยุคกลับไปยิ่งกว่าสมัยหิน แต่เมืองไทยก็ยังทำได้ หรือแม้แต่ กกต. ที่มาจากกระบวนการยุติธรรมทั้งดุ้น เข้ามาควบคุมการเลือกตั้ง ก็จ้องจับผิด เอาผิดอยู่ฟากฝั่งเดียวให้เห็นตำตาประชาชน แต่ก็ยังแหกปากร้องตะโกนเป็นกลาง

จนไม่วายที่ประชาชนกำลังมองว่า สถาบันตุลาการกำลังเข้ามาก้าวก่ายอำนาจบริหารและนิติบัญัติ จนกลายเป็นความผิดเพี้ยนของระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว...???

ภาพที่กระหน่ำซ้ำต่อภาพลักษณ์ตุลาการ ก็ยังสำแดงออกมาให้เห็นอย่างมีนัยยิ่ง ดังที่คุณผู้ใช้ชื่อ doctorve บนเว็บบอร์ดประชาไท อีกคนหนึ่งที่ โพสต์ข้อความแสดงความอึดอัดออกมาว่า

ผมมีความเชื่ออยู่นะครับว่า ยังมีผู้พิพากษาที่มีความรักชาติ มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม เห็นความสำคัญของนิติศาสตร์คู่กับรัฐศาสตร์ ไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะฝ่ายเผด็จการ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีกี่คน เหลือกี่คน

ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรากฏว่ามีบุคลากรใหญ่จากสถาบันตุลาการ ลงมาคลุกฝุ่นก้าวล้ำทางการเมืองเยอะนะครับ แล้วพอทำงานไปก็ขัดกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่

แล้วบางคนก็ได้ดิบได้ดี เพราะเผด็จการหนุนให้ได้รับตำแหน่ง แต่พอเผด็จการจากไป ท่านก็ขอวิ่งกลับมาเป็นผู้พิพากษาเหมือนเดิม

อย่างนี้มันใช้ได้หรือครับ นี่ผมพูดในฐานะประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศเหมือนกันนะครับ แต่ไม่ได้มีอำนาจราชศักดิ์เหมือนพวกท่าน แต่ก็ถือว่าเป็นกลไกหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศชาติ

ถ้าพวกท่านยังเห็นแก่พวกพ้องมากกว่าความเหมาะสม ความเสื่อมจะมาเยือนสถาบันของพวกท่านนะครับ ขอบอก บางคนในระบอบเผด็จการ เหิมเกริมขนาดขอตัวผู้พิพากษาไปเป็นหน้าห้องฝ่ายการเมืองมาแล้ว ก็คิดดูเถอะครับว่ามันขนาดไหน...???

ที่ผ่านมา ผมไม่ถือว่าตุลาการที่ตัดสินยุบพรรคการเมือง คือ คำสั่งของศาล แต่แปลกไหมครับ คำวินิจฉัยให้ยุบพรรค ทรท. ดันมีผลให้ ทรท. ถูกยุบ

นอกจากคำสั่งตั้งคณะตุลาการมาดำเนินการยุบพรรคแล้ว ยังมี นายสุนัย มโนมัยอุดม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ในขณะนั้น เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในสมัยเผด็จการเรืองอำนาจ ขณะที่ นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการศาลฎีกา ในขณะนั้นเช่นกัน มาเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม

แต่พอพรรค พปช. ชนะการเลือกตั้ง นายจรัญก็ขอกลับเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของสถาบันตุลาการ แต่ยังไม่ได้รับกลับ ก็ไปสมัครเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายใหม่ แล้วก็ได้เป็นจริงๆ ด้วย โดยมีคดีใหญ่รออยู่ คือ คดียุบพรรค พปช.

ล่าสุด นายสุนัยก็ได้กลับเข้าสู่สถาบันตุลาการอีก หลังจากถูกย้ายจากกรมดีเอสไอ ไปอยู่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ปปท.

แปลกอีกอย่างคือ ทำไมผู้พิพากษาต้องเกษียณที่ 70 ปี ทั้งๆ ที่บ้านเรา คณะนิติศาสตร์ผลิตบัณฑิตได้มากมาย จะไม่เปิดโอกาสให้มีบุคลากรรุ่นใหม่มาทดแทนบ้างหรือไร...???

นั่งแท็กซี่กลับบ้าน บ่นไปคุยไปกับโชเฟอร์ ที่ก็ย่ำแย่อยู่กับการทำมาหากินที่ฝืดเคือง แต่ทุกคนก็บอกตรงกันว่า ยังจะต้องสู้ต่อไป อย่าได้หมดใจ

เรายังจะต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อให้อำมาตยาธิปไตยรับรู้ว่า บ้านนี้เมืองนี้คือของประชาชนทุกคนทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่คิดเอาเองว่าจะมาปกครองพวกเรา...

พร ภัทร