เพราะจากเกมการต่อสู้หักล้างกันในปมของนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากสำคัญในคดีทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในปมที่ทีมทนายของนายยงยุทธยกเป็นข้อต่อสู้ในการชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนได้ ส่วนเสียของพยานปากสำคัญ เบื้องหลังไม่มีความเป็นกลาง เพิ่มน้ำหนักในเรื่องของการจัดฉาก สร้างเรื่องใส่ร้ายคู่แข่งทางการเมือง กลายเป็นเรื่องเป็นเรื่องตาย ม็อบพันธมิตรฯลากไปยำใหญ่บนเวที กระเทือนกันไปทั้งตึกศรีจุลทรัพย์ รังใหญ่ 5 เสือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้าแผนล็อกเป้า กำจัดไส้ศึกระบอบ “ทักษิณ” ล่าสุด นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. สั่งตั้งกรรมการสอบสวนการออกหนังสือของสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต.ที่ออกให้กับทีมทนายของนายยงยุทธนำไปแสดงในศาล ระบุนายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยขีดเส้นให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน และหากปรากฏมีการปลอมแปลงลายเซ็นจริง ต้องมีโทษทางวินัยและโทษทางอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาลที่นำหลักฐานเท็จไปแสดงต่อศาล เงื้อดาบรอตัดหัวเลย แต่ก็เป็นอะไรที่ต้องแยกออกจากกัน นอกเหนือจาก 5 เสือ กกต.ที่ถูกม็อบพันธมิตรฯจับเลือกข้าง แบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ฝ่ายหนึ่ง “เด็กดี” คือนายอภิชาต นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง และนายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม อีกฝั่ง “เด็กดื้อ” คือนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กับ “เจ๊สด” นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กกต.ถูกจับแยก “เด็กดื้อ” และ “เด็กดี” และกรณีหนังสือยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของนายชัยวัฒน์ ก็ต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น ปมแรก เอกสารจริงหรือปลอม ซึ่งนายสุเมธออกมาระบุเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือทางราชการของ กกต. แต่ลายเซ็นในเอกสารไม่ใช่ของผู้มีอำนาจคือ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ขณะที่นายสมชัยก็อธิบายแทนลูกน้อง ในวันที่ทีมทนายของนายยงยุทธขอเอกสารเพื่อนำไปแสดงต่อศาล ปรากฏว่า พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์อยู่ที่ศาลทั้งวัน จึงประสานให้ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ พนักงานสอบสวน สำนักสืบสวนฯ 5 ให้ดำเนินการโดยเร็ว ดังนั้น พ.ต.ท.กฤษณ์จึงเซ็นเอกสารขึ้นมาเองและเซ็นแทน “ข้อผิดพลาดคือ แทนที่จะลงนามด้วยตัวเอง กลับไปอ้างชื่อ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์และลงนามแทน เท่าที่เห็นก็เป็นหนังสือราชการที่ถูกต้องทุกอย่าง จะผิดก็ตรงที่ไปลงชื่อแทนคนอื่น” ดูท่า “สารวัตรกฤษณ์” คงต้องรับมุกไป แต่กับอีกประเด็นคือนายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ปรากฏคิวนี้ นางสดศรีนำทีมแถลงยืนยันด้วยตัวเอง จากการตรวจสอบพบว่า ไม่เฉพาะนายชัยวัฒน์เท่านั้นที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังปรากฏชื่อของนางอรและนายเกรียงไกร ฉางข้าวคำ ภรรยาและลูกของนายชัยวัฒน์ สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2547 โดยมีสำเนารายชื่อถูกเก็บเป็นไมโครฟิล์มป้องกันการถูกแก้ไขอีกด้วย ล่าสุดมีการเปิดฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองของ กกต. พบว่า นายชัยวัฒน์เคยเป็นสมาชิกทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคไทยรักไทย ซึ่งตามกฎหมายเก่าสามารถทำได้ แต่เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบไป การเป็นสมาชิกของนายชัยวัฒน์ก็สิ้นสภาพไปด้วย แต่จากบัญชีสมาชิกที่พรรคประชาธิปัตย์ส่งให้ กกต.ล่าสุด ก็ยังมีชื่อของนายชัยวัฒน์อยู่ ลงนามรับรองความถูกต้องโดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ กรรมการบริหารพรรค จุดนี้แหละที่ต้องชิงเหลี่ยมหักล้างกัน เพราะมันจะชั่งน้ำหนักได้ว่า สิ่งที่นายชัยวัฒน์ปฏิเสธกลางศาล และถึงตอนนี้ก็ยังยืนยันกับคนภายนอกว่าไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เลย ในฐานะพยานโจทก์สำคัญ พูดแล้วเชื่อถือได้แค่ไหน. ทีมข่าวการเมือง รายงาน
จะบอกว่า ไม่มีผลต่อรูปคดีมันก็ไม่เชิงซะทีเดียว