วันนี้ผมขอร่วมวง “เชียร์” นโยบาย “แจกคูปองเงินช่วยคนจน” เพื่อนำไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคแทนเงินสด ของ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลังด้วยคนครับ
เป็นนโยบายที่แก้ปัญหาความเดือดร้อนของคนจนได้ตรงจุดที่สุด การแก้ ปัญหาวิกฤติของชาตินั้น ผู้รับผิดชอบต้องแก้ด้วยความ “จริงใจ” ไม่ควรมีอะไรแฝง เหมือนการแก้ปัญหาของ “รัฐมนตรีบางคน” ในรัฐบาลชุดนี้
ปัญหาเศรษฐกิจยามนี้ต้องยอมรับว่า คนยากจน คนที่มีรายได้ต่ำ เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด กระทบไปถึงปากท้อง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
การแจกคูปองช่วยคนจน เพื่อนำไปใช้ซื้อสินค้าอาหารและเครื่องอุปโภคแทนเงินสด ช่วยลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แม้จะไม่ใช่ความคิดใหม่ หลายประเทศใช้มาแล้ว และวันนี้ก็มีหลายประเทศนำมาใช้อีก เช่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้
แต่การที่ “หมอเลี้ยบ” กล้านำมาใช้ในประเทศศรีธนญชัยอย่างประเทศไทย ต้องถือเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่ง เพราะสังคมศรีธนญชัยแบบไทยๆ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องมี “คนขี้โกง” เข้ามาเอี่ยว ทั้ง “คนแจก” และ “คนรับแจก” ที่ไม่จนจริง คนงกและคนเห็นแก่ตัวในเมืองไทยมีเยอะมาก
แต่ผมไม่อยากให้ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรค ทำให้โครงการนี้ต้องล้มเลิกไป
การแจกคูปองซื้ออาหารช่วยคนจน ดีกว่าการเอาเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านไปอุ้มราคาน้ำมัน หรืออุ้มราคาสินค้า เพราะในที่สุด คนจน คนรวย และพ่อค้านักธุรกิจ ก็เดือดร้อนกันหมดเป็นลูกโซ่ ไม่มีใครได้ ประโยชน์จริง แต่การช่วยคนจนแบบนี้ จะทำให้ทุกคนอยู่รอดหมด เพียงแต่ รัฐบาลขาดทุนกำไรไปบ้าง แต่รัฐก็ได้คืนทางอ้อมจากภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ดี
เดือนที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ใช้วิธีช่วยเหลือประชาชนด้วยการ จ่ายคืนภาษีแก่ประชาชนทุกคนที่เสียภาษี ในวงเงิน 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 3.63 ล้านล้านบาท โดยทยอยจ่ายทุกสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในสหรัฐฯที่ซบเซา
สัปดาห์ที่แล้วนี่เอง รัฐบาลเกาหลีใต้ ก็เพิ่งประกาศ คืนเงินภาษี 10.5 ล้านล้านวอน หรือ 331,545 ล้านบาท ให้แก่ประชาชนและเจ้าของธุรกิจ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระน้ำมันแพง
คนที่มีรายได้ไม่ถึง 36 ล้านวอนต่อปี หรือ 1 ล้านบาทต่อปี จะได้คืนภาษีร้อยละ 78 เจ้าของธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 24 ล้านวอน หรือ 780,000 บาท ก็จะได้รับภาษีคืนเช่นกัน เกษตรกร ชาวประมง ผู้มีรายได้น้อย รัฐจะอุดหนุนภาระน้ำมันให้ร้อยละ 50
เงินช่วยเหลือ 10.5 ล้านล้านวอนนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้นำมาจากภาษีกำไรของธุรกิจเมื่อปีที่แล้ว และจากภาษีน้ำมันที่เก็บไปจากประชาชน
เขียนเรื่องการช่วยเหลือคนจนในยามนี้แล้ว ก็ทำให้ผมคิดถึงนโยบาย “รถเมล์ฟรี” ของอดีตนายกฯ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นมาทันที
ผมว่าในยุคที่ราคาน้ำมันแพงบ้าเลือดแบบนี้ และมีแนวโน้มจะขึ้นไปเป็นบาร์เรลละ 150 เหรียญในอีก 23 เดือนข้างหน้านี้ ผมอยากให้ “หมอเลี้ยบ” ลองปัดฝุ่นโครงการ “รถเมล์ฟรี” ขึ้นมาทบทวนใหม่อีกครั้ง โดยรัฐเป็นผู้จ่ายค่ารถเมล์แทนประชาชน เพื่อให้รถเมล์สามารถอยู่ได้โดยไม่มีภาระ
รถเมล์ฟรี จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคนกรุงเทพฯได้ถึงวันละ กว่า 3 ล้านคน ถ้ารัฐช่วยฟรีทั้งหมดไม่ไหว จะลดค่ารถเมล์ลงมาสัก 50 เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี แล้วรัฐบาลรับภาระแทนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังช่วยได้มากทีเดียว
ถ้าทำได้ ผมเชื่อว่าคนที่ใช้รถยนต์ส่วนหนึ่งก็จะหันไปใช้รถเมล์แทน ซึ่งจะช่วยชาติประหยัดน้ำมันดิบได้อีกมาก ผมหวังว่านโยบายนี้คงไม่ถูกคัดค้านจาก กลุ่มทุนรถเมล์แอร์ 6,000 คัน ของ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีคมนาคม ที่กำลังจะขึ้นค่ารถเมล์เป็น 15 บาททุกสายทุกคน เพราะได้ประโยชน์เหมือนกัน.
"ลม เปลี่ยนทิศ"