ที่มา ประชาทรรศน์
โดย *อัฐศิริ*
ขบวนการคนเสื้อแดง เริ่มมาจากการที่มีกลุ่มคนมีความคิดว่าต้องการจะช่วยต้องการปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นเป้าการโจมตีทำลายล้างของ “กลุ่มพันธมาร” ที่พยายามขัดขวางประกาศล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” ให้หมดไปจากแผ่นดินไทย
เพราะถือว่านี่เป็นตัวปัญหาที่สำคัญ เป็นอุปสรรคในการสถาปนา “การเมืองใหม่” ที่เป็นมรดกอสูรของ “เผด็จการ”
คนเสื้อแดงกลุ่มใหญ่ๆ ก็มีบทบาทโดดเด่น คือ กลุ่มเพื่อนเนวิน ชมรมคนรักอุดร และ นปช.
ดังนั้นการรวมพลของ “คนเสื้อแดง” ที่ผ่านมา จึงทำได้อย่างทันทีทันใดและมีจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งทำให้คน “เสื้อเหลือง” ที่สนับสนุน “กลุ่มพันธมาร” หรือเป็นสาวกของ
“ม็อบโกเต๊กซ์” ตลอดจนผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง จะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ไม่สามารถมองข้ามไปได้ จนเกิดการประลองกำลังกันมาแล้ว ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งในครั้งนั้น ได้สร้างบทเรียนให้กับ “กลุ่มพันธมาร” จนไม่อาจจะลืมได้
การกลับมารวมตัวของ “คนเสื้อเหลือง” ที่สนับสนุน “กลุ่มพันธมาร” อีกครั้งที่ จ.ชลบุรี เมื่อเร็วๆ นี้ เชื่อว่าบรรดาแกนนำคงมีการวิเคราะห์แล้วว่า วันนี้ “คนเสื้อแดง” ขาดเอกภาพ ความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือเปล่า มองว่ามีปัญหา แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กันแล้วกระมัง ซึ่งการวิเคราะห์นี้ ใช่ว่าจะไร้ซึ่งความจริงเสียทีเดียว
วันนี้เสื้อแดงของ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” มองภาพรวมของประเทศ เอาอนาคตของประเทศชาติบ้านเมืองเป็นหลัก พยายามทำทุกอย่างให้บ้านเมืองเดินหน้าไปให้ได้ ต้องการฟื้นฟูเยียวยาประเทศที่บอบช้ำเสียหายจากการกระทำของ “กลุ่มพันธมาร” ที่ทิ้งความอัปยศอดสูไว้จนมาถึงวันนี้
ซึ่งก็ยังไม่ทิ้งข้อเรียกร้องเดิม ที่จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประเทศชาติต้องเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง และช่วยเหลือประชาชนคนยากคนจน
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่คนรากหญ้าควรได้รับก็ต้องได้รับ ต้องได้รับการช่วยเหลือสนับสนุน เพื่อการสร้างาน สร้างรายได้ เมื่อปากท้องอิ่มแล้วก็มากันเรื่องอื่น เพราะตราบใดที่ท้องยังหิว ถามจริงๆ เถอะว่า จะมีแก่ใจไปคิดเรื่องอื่นได้อย่างไร
ดังนั้น การผลักดันนโยบาย “ประชานิยม” เป็นเรื่องที่ต้องรีบทำเพื่อให้ “สังคมเป็นสุข”
ความเลวร้ายของ “กลุ่มพันธมาร” ไม่ว่าจะเป็นการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ใช้เป็นที่ซ่องสุมกำลัง ประกาศชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ ที่พวกเขาภูมิใจกันหนักหนา รวมทั้งการบุกยึดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ “กลุ่มพันธมาร” ประกาศเป็นชัยชนะในการทำสงคราม
แต่เป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลก ทำลายศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของประเทศแทบไม่มีชิ้นดีหลงเหลือไว้เลย
สำหรับ “ชมรมคนรักอุดร” มีชัดเจนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คัดค้านต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ และต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้คนยากคนจน คนด้อยโอกาส โดยเฉพาะคนอีสานได้มีสิทธิลืมตาอ้าปาก มองเห็นอนาคต
แต่การที่ นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ออกมาระบายความในใจ ที่กองทัพเสื้อแดงในภาคอีสาน เป็นได้แค่กำลังเสริม เป็นไม้ประดับมาสร้างบารมีให้ใครบางคนนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เพราะหลายครั้งหลายหนที่ “คนเสื้อแดง” ชมรมคนรักอุดร ยกขบวนลงมากรุงเทพฯ เพื่อมาร่วมงานสำแดงพลังของ “คนเสื้อแดง” ซึ่งการมาทุกครั้งต้องมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่ารถค่ากินอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเป็นงานที่ “ใจ” สั่งมา เพื่อการมีส่วนร่วมในการแสดงพลังเพื่อประชาธิปไตย ยืนหยัดต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร
จากการเดินทางค้างคืนต้องอดหลับอดนอนมาบนรถ แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นเพียงแค่มาฟังเสร็จแล้วก็เดินทางกลับไป ไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับอะไรเลย ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนี้ มีความพร้อม มีศักยภาพ มีประสบการณ์และมีหัวใจในการต่อสู้ที่เกินร้อย ไม่ใช่ราคาคุย
การฝากความบอกไปยัง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องสาว-น้องเขย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรณีที่กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้รับการเหลียวแลจากแกนนำผู้จัดรายการ ”ความจริงวันนี้” หรือ กลุ่ม นปช.
ว่ามักมองข้ามหัวคนเสื้อแดงในต่างจังหวัด ทั้งๆ ที่คนเสื้อแดงพร้อมที่จะเป็นแกนนำของ “คนเสื้อแดง” ขอเพียงแต่ อย่าปิดตัวเอง โดยคิดว่าตัวเองเป็น “ทัพหลวง” แล้วไม่ให้ราคาคนเสื้อแดงในต่างจังหวัด
คิดเอาเองว่าเมื่อเป่านกหวีดไม่ไร คนเสื้อแดงในต่างจังหวัดก็ต้องมา
ซึ่งนายขวัญชัย มองความคิดนี้ว่า เป็นความคิดแบบพวกศักดินา
“ต่อไปนี้กลุ่มพวกผมจะเข้าร่วมทัพคนเสื้อแดงก็เพื่อปิดบัญชีเท่านั้น”
เป็นเรื่องที่น่าห่วงนะครับ ถ้าตราบใดที่พรรคไม่มีผู้นำ ก็จะเดินไปอย่าสะเปะสะปะ การเคลื่อนไหวโดยไม่มีผู้นำ ทำให้เป้าหมายผิดไปจากจุดยืนได้ ยกตัวอย่าง การป่วนรายวันที่เกิดขึ้นนั้น คนส่วนใหญ่เริ่มส่ายหน้า ระวังความศรัทธาเชื่อมั่นจะลดลงไป
สิ่งที่คิดไว้ ตั้งความหวังไว้ เพื่อปกปักรักษาความถูกต้อง ความเป็นธรรม ยึดมั่นประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการ และการทำเพื่อ “นาย” ก็จะหายไปกับสายลมแสงแดด
วันนี้ภารกิจของ “คนเสื้อแดง” ยังไม่จบลงง่ายๆ หรอกครับ เพราะทาง พรรคประชาธิปัตย์ เองก็ออกมาพูดไม่เต็มปากนัก ในการจัดการกับ “กลุ่มพันธมาร” ว่าจะทำได้ เมื่อไรอย่างไร แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่า ยังต้องมีลูกล่อลูกชน ลูกเล่นต่างๆ เพื่อยื้อเวลาออกมาอีกหลายยกครับ สำหรับรัฐบาลเทพประทาน และยังจะมีคนของ “กลุ่มพันธมาร” อีกหลายคนที่จะได้รับตำแหน่งในรัฐบาล “มาร์ค 1”
ที่เรียบร้อย “โรงเรียนแป๊ะลิ้ม” ไปแล้ว มี นายประพันธ์ คูณมี นายพิเชฐ พัฒนโชติ ส.ส.สอบตก ที่ยืนหยัดบนเวทีม็อบโกเต๊กซ์ตลอดมา นี่ก็มีข่าวว่าจะดัน นายสำราญ รอดเพชร แกนนำ
“กลุ่มพันธมาร” รุ่นที่ 2 มามีตำแหน่งในทำเนียบรัฐบาล ที่พวกตัวเองเคยบุกยึดสร้างความเสียหายมาแล้ว
แม้จะเป็นที่รับรู้ถึง “ความจริง” ที่ว่า “กลุ่มพันธมาร” ที่มี ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำนั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างยับเยินให้กับประเทศชาติบ้านเมือง
รวมทั้งยังเป็นต้นเหตุของความแตกแยกร้าวฉานกันไปทั้งประเทศ คนในบ้านนี้เมืองนี้อยู่ด้วยความระแวงไม่ไว้ใจกัน เพราะฉะนั้นหนทางที่จะนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ สามัคคีร่วมมือร่วมใจกันนั้น ยังเป็นสิ่งที่ยังไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง
ขออย่าให้สิ่งที่เคยร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันต่อสู้ ต้อง “เสียของ” ไปเลยครับ เพราะเพียงเพื่อต้องการจะยึดกุมอำนาจการนำ แล้วยังหลงใหลได้ปลื้มกับคำเยินยอ ว่าข้านี้มีความสำคัญเสียเต็มประดา
จนมองข้ามหัวแนวร่วม ที่เคยร่วมต่อสู้กันมา ด้วยจุดหมายเดียวกันคือ ”นาย” ซึ่งวันเวลาจะบอกเองว่า ใครบ้างทำเพื่อ “นาย” และมีใครใช้ “นาย” เป็นเครื่องมือหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น “คนเสื้อแดง” ต้องอย่าเห็นแก่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉาบฉวย มาทำลายปณิธานอันแรงกล้า มาทำลายความมุ่งมั่นตั้งใจที่ยิ่งใหญ่
และอย่าให้พี่น้องประชาชนอยู่กันอย่างอดอยากและลำบากอีกต่อไป
ต้องมาคิดกันว่า ต้องทำอย่างไรให้ “ประชานิยม สังคมเป็นสุข” เพราะนั่นจะเป็นแนวร่วมเป็นพลังในการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่
ถ้าทำได้อย่างนี้ ชัยชนะก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น