ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
โดย เอกฉัตร
ได้ฤกษ์ วันพุธที่ 21 มกราคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และได้รับมอบหมายจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้กำกับควบคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ทำให้ตำรวจเฝ้าจับตาดูว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะตำแหน่งต่างๆ ที่สำคัญๆ ที่รัฐบาลจะต้องหาคนที่ไว้ใจทำงาน โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกลับขั้วกลับหัวกลับหาง ยิ่งต้องเฝ้าจับตาและลุ้นกันด้วยใจระทึก
ย้อนอดีตตั้งแต่กรมตำรวจยกฐานะ ซึ่งในความเป็นจริงที่ดำรงอยู่น่าจะเรียกว่าเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกิดขึ้นในรัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ โดย นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 และมอบให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เมื่อครั้งยังเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ต่อมาเมื่อ พล.ต.สนั่น ต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมือง เมื่อตุลาการรัฐธรรมนูญ ชี้ขาดแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็รับช่วงต่อเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นเดียวกัน
จนกระทั่งถึงรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ได้กำกับควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามเจตนารมณ์มีการยกฐานะกรมตำรวจเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้รัฐบาลต่อๆ มา ตั้งแต่ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และ รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แต่ในช่วงท้ายของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีข่าวทำให้ตำรวจตื่นเต้นหวาดเสียว คือ จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี โดยให้ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรองนายกรัฐมนตรี เพื่อกำกับควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
เท่ากับว่าเป็นเวลา 8 ปี ที่พรรคประชาธิปัตย์ ว่างเว้นจากการเป็นแกนนำรัฐบาล ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกกำกับควบคุมดูแลโดยนายกรัฐมนตรี ตามเจตนารมณ์
วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ ได้กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง และรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาล และความมั่นคงให้กับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับมอบหมายให้กำกับควบคุมดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก่อนที่จะมาเล่นการเมือง ก็ผ่านงานด้านความมั่นคงมาแล้ว โดยเป็นกำนันที่ อ.พูนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
ส่วนความรู้เรื่องตำรวจ ผมเชื่อว่าป่านนี้ นายสุเทพ รับรู้ปัญหาต่างๆ ในแวดวงตำรวจจากทีมงานที่ปรึกษา เข้าชั้นระดับสมภารแล้ว แถมการทำงานที่ถึงลูกถึงคน บวกกับความเป็นนักเลงลูกผู้ชายเต็มร้อย หากไม่เป็นโรคหูเบา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับนักการเมืองที่เป็นใหญ่คับแข้งคับขา ก็น่าจะขับเคลื่อนให้การทำงานของตำรวจมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้บังคับบัญชาใจนักเลงกล้าที่จะรับผิดชอบ ไม่ใช่รับแต่ชอบ ให้ข้าราชการรับผิด ผมมั่นใจว่าพฤติกรรมที่ว่านี้ คงไม่เกิดขึ้นแน่กับลูกผู้ชายที่ไม่ได้ดูกันที่นุ่งกางเกงที่ชื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นนัดปฐมฤกษ์ของรองนายกฯ สุเทพ แค่แนะนำตัว รับทราบวาระการประชุม ก็ดูไม่สมศักดิ์ศรีกำนันเก่า น่าจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับนายพลชิมลาง ซึ่งมีตำแหน่งที่ว่างอยู่ขณะนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 1 ตำแหน่ง ผู้บัญชาการ 1 ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการ 3 ตำแหน่ง และ ผู้บังคับการ 3 ตำแหน่ง
แม้การแต่งตั้งโยกย้ายชิมลางนัดปฐมฤกษ์มีไม่กี่ตำแหน่ง แต่ก็ตื่นเต้นไม่น้อย แม้จะไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ แต่บังเอิญ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชากาตำรวจแห่งชาติ มีหลายขั้วเป็นตัวช่วยค้ำยัน คงจะดำรงตำแหน่งไปจนถึงวันเกษียณเดือนกันยายนปีนี้
ที่ต้องตื่นเต้นเพราะมีนายตำรวจสายอำนาจใหม่ ฝีมือยังไม่ถึงขั้น ฝีมือชื่อชั้นยังห่างที่จะนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แต่เห็นว่า “นาย” เป็นใหญ่ จึงต้องการจะนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล อ้างว่าสามารถควบคุมม็อบได้ ไม่ให้ “นาย” เสียหน้า และปล่อยข่าวว่า พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่คนในวงการตำรวจรู้ดีว่า การข้ามห้วยจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลของ พล.ต.ท.สุชาติ นั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรรณ เป็นคนส่งมา เพื่อให้คนที่ไว้ใจในฝีมือคุมพื้นที่นครบาล ซึ่งถือเป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
4 เดือนที่ผ่านมาบนเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ทั้งงานบู๊และบุ๋น ไม่ทำให้คนสนับสนุนและกองเชียร์ผิดหวัง และเชื่อว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็น่าจะรับทราบมาบ้าง คงไม่บ้าจี้ตามข่าวลือ นะครับ