ที่มา มติชนออนไลน์
"ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" ค้านพันธมิตรฯตั้งพรรคการเมือง ซัดกลืนน้ำลายตัวเองตามที่เคยประกาศไว้ ย้อนรอยการเมืองน้ำเน่า แกนนำภาคใต้แห่ค้าน ระบุจะทำให้พลังเสื้อเหลือง ล่มวลายอย่างรวดเร็ว
"ไชยวัฒน์"ซัด พธม.กลืนน้ำลาย-ปัดร่วม"ประชัย"ตั้งพรรค
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 7 มีนาคมถึงความเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ในการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้น ซึ่งมีแกนนำมีความเห็นสวนทางกันนั้น นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำ พันธมิตรฯให้สัมภาษณ์ว่า ยังยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการที่ 5 แกนนำพันธมิตรจะจัดตั้งพรรคการเมือง เพราะเคยประกาศไว้ชัดเจนว่าจะไม่ตั้งและจะไม่เคลื่อนไหวเพื่อมีตำแหน่งทางการเมืองในการชุมนุมแทบทุกครั้ง หากคิดจะทำจริงจะเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่ และจะกลายเป็นพฤติกรรมย้อนรอยนักการเมืองน้ำเน่าที่พูดอะไรแล้วพร้อมที่จะทำในสิ่งตรงข้ามทั้งในที่ลับและที่แจ้งได้ตลอดเวลา 5 แกนนำควรสงวนภารกิจของพันธมิตรฯเอาไว้รับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น อาจจะมีการเรียกชุมนุมใหญ่คลี่คลายปัญหาและปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เอาไว้ให้อยู่คู่กับคนไทยตลอดไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่า จะไปร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรคประชาภิวัฒน์ ร่วมกับนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า เป็นความเท็จ หากไม่เชื่อ สามารถไปตรวจสอบรายชื่อผู้ก่อตั้งพรรคประชาภิวัฒน์ได้เลย ไม่มีชื่อนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อย่างแน่นอน
แกนนำพันธมิตรฯใต้แห่ค้าน-ระบุทำให้พลังเสื้อเหลืองล่มสลาย
นายสุนทร รักษ์รงค์ แกนนำพันธมิตร จ.ชุมพร ในฐานะผู้ประสานงาน 16 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า ในวันที่ 21 มีนาคมนี้ พันธมิตร 16 จังหวัดภาคใต้กำหนดจัดประชุมใหญ่ที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อหารือการจัดตั้งเครือข่ายการเมืองภาคประชาชนภาคใต้ และจะพิจารณาเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯส่วนกลางด้วย แต่จากการพูดคุยส่วนตัวกับแกนนำ แต่ละจังหวัดในภาคใต้ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมือง เพราะยังเชื่อว่าพลังบริสุทธิ์ของเครือข่ายการเมืองภาคประชาชนยังเป็นทางออกของสังคม ในการตรวจสอบการทำงานการเมืองในระบบรัฐสภา และยังสามารถสร้างสังคมตื่นรู้เพื่อก้าวไปสู่การเมืองใหม่ได้
นายสุนทรกล่าวว่า พันธมิตรฯส่วนกลางไม่ควรตกหลุมพรางของอำนาจทางการเมือง เพราะหากเข้าไปทำงานการเมืองเสียเอง จะก่อให้เกิดการล่มสลายของพลังเสื้อเหลืองในเวลาอันรวดเร็ว ยกเว้นในกรณีแนวร่วมบางกลุ่มประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองก็สามารถทำได้ แต่แนวร่วมกลุ่มนั้นจะต้องไม่ส่วนเกี่ยวข้องกับพันธมิตรอีก
"ถ้าประชาธิปัตย์ล้มเหลว สังคมจะเรียกร้องให้พันธมิตรเข้ามามีส่วนร่วมกับการเมืองในระบบเอง แต่ต้องไม่ใช่เวลานี้ กระแสการจัดตั้งพรรคการเมืองของเราดูเป็นสิ่งที่ล่อแหลมต่อขบวนการต่อสู้ของการเมืองภาคประชาชนอย่างยิ่ง และเราไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของใครนอกจากประชาชน" นายสุนทรกล่าว
สถาบันพระปกเกล้าเปิดโมเดลปฏิรูป-"สุจิต"รับนั่งปธ.กรรมการ
สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมือง ตามแนวคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีนั้น มีรายงานข่าวจากสถาบันพระปกเกล้าแจ้งว่า ในการประชุมกรรมการสถาบันพระปกเกล้าวันที่ 9 มีนาคมนี้ จะมีการหารือเรื่องการรับเป็นเจ้าภาพการปฏิรูปการเมืองตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสนอให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นคนกลาง ดำเนินการ
ทั้งนี้ในการหารือเป็นการภายใน มีโมเดลเบื้องต้นว่า คณะกรรมการปฏิรูปการเมืองจะมีนายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง และอดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานคณะกรรมการ มีกรรมการ 40-50 คน มาจากนักวิชาการกลุ่มต่างๆที่มีจุดยืนแตกต่างกันต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ใช้เวลาประมาณ 8 เดือน ศึกษาประเด็นปัญหาสังคมและการเมืองไทย
นายสุจิตกล่าวยอมรับว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ได้มาทาบทามอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ความจริงสภาพัฒนาการเมืองมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการเมืองอยู่แล้ว เมื่อสถาบันพระปกเกล้าติดต่อมาก็คิดว่าจะเข้าไปช่วยในฐานะส่วนบุคคล ส่วนสภาพัฒนการเมืองจะมีบทบาทต่อการปฏิรูปการเมืองอย่างไร ก็ต้องประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องทำหน้าที่เป็นอิสระ ไม่เป็นเครื่องมือให้กลุ่มการเมืองใด นายสุจิตกล่าวว่า คงไม่ต้องลาออกจากประธานสภาพัฒนาการเมือง เพราะไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง และบทบาทระบุชัดว่าต้องเป็นกลางทางการเมือง ถ้าคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองมีความเป็นอิสระจริง ผมก็จะช่วย แต่ถ้าไม่อิสระก็คงต้องลาออก ส่วนโมเดลนั้นคิดว่า น่าจะคล้ายกับคณะกรรมการก่อนปี 2540 ที่มี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน
"คณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่มาแก้รัฐธรรมนูญ แต่มาศึกษาปัญหาการเมืองที่ยุ่งๆ ในช่วงที่ผ่านมาว่าจะต้องแก้ที่ส่วนใดบ้าง ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง" อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯกล่าว