ท่ามกลางจิตใจผู้คนที่ต่ำเตี้ยลงไปทุกวัน โลภมากเห็นแก่เงิน จนเกิดวิกฤตการณ์ “ผู้ใหญ่ทำลายเด็ก” จากการโกงกิน “นมโรงเรียน” อย่างไม่ละอายแก่ใจ ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมตามสนอง ไปจนถึงการใช้เงินหลายพันล้านซื้อ “ตำราเก่า” ไปสอนเด็กของกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งจะทำให้เด็กไทยล้าหลังชาวโลกไปอย่างน่าเศร้าเสียใจที่สุด
วันนี้ผมมีข้อมูล “สถานการณ์ด้านเด็กและเยาวชนไทย” ที่สำรวจกันล่าสุดระหว่างปี 2548-2550 มาเล่าสู่กันฟัง บอกได้คำเดียวว่า อ่านแล้วก็เศร้าใจจริงๆ
ไม่รู้ว่าวันๆ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปจนถึง กระทรวงวัฒนธรรม ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กโดยตรง ทำอะไรกันอยู่กับงบประมาณก้อนหาศาลหลาย
แสนล้านบาททุกปี
จากรายงานอ่านแล้วก็ช็อก เมื่อผลสำรวจระบุว่า เด็กไทยมีพัฒนาการทางสมองล่าช้า โดย เด็กในวัยเรียนมี ไอ.คิว. หรือ ความฉลาดทางเชาว์ปัญญาในการคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ เฉลี่ยอยู่ที่ 8891 ต่ำกว่า ไอ.คิว.ปกติที่เป็นมาตรฐานโลกที่ 90100 ข้อมูลนี้เป็นการเฉลี่ยทั่วประเทศนะครับ
ส่วนเด็กที่เรียนเก่ง มีไอ.คิว.สูง สามารถไปแข่งขันในต่างประเทศจนชนะเลิศนั้นเป็นกลุ่มที่เล็กมาก เป็นกลุ่มที่ช่วยตัวเองได้ แต่เด็กไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี่สิครับเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา
แต่ที่น่าเศร้าใจคือ ผมไม่เคยได้ยิน รัฐมนตรีศึกษาฯ ที่มาจากนักการเมือง พูดถึงเรื่องการพัฒนาเรื่องการศึกษาเลย นอกจากการทุ่มเงินลงไปซื้ออุปกรณ์การเรียนทั้งหมด ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ อาคารเรียน ไปจนถึงเสื้อผ้าหนังสือเรียน แจกฟรี ที่มีคนตั้งข้อกังขาในความโปร่งใสทุกปี
แล้ว รัฐมนตรีศึกษาฯ จาก พรรคประชาธิปัตย์ ยังเห็นชอบให้เด็กนักเรียนต้องไปเรียน ตำราเก่า ที่ พิมพ์สมัยปี 2544 เมื่อ 8 ปีก่อน แต่ไม่รู้ว่าเขียนไว้ในสมัยไหน รู้แต่ว่าตำราแต่ละเล่ม กว่าจะฝ่าด่านกระทรวงศึกษาฯผูกขาดเป็นตำราเรียนได้ ต้องใช้เวลาและความสัมพันธ์ไม่น้อย ตำราที่พิมพ์ในปี 2544 จึงน่าจะใช้ข้อมูลเก่ากว่านั้น
สรุปก็คือ กระทรวงศึกษาฯยุคประชาธิปัตย์ กำลังจะเอาตำราย้อนยุคเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาสอนเด็กปัจจุบัน เพื่อเติบโตในอนาคต มันจะทันโลกหรือไม่ เอาส่วนไหนของร่างกายที่ไม่ใช่สมองตรองก็ได้
มาดูข้อมูลเด็กไทยกันต่อครับ ทารกไทยดื่ม “นมมารดา” น้อยมาก เด็กชายอายุ 0-5 ขวบ ดื่มนมมารดาแค่ร้อยละ 5.4 เด็กผู้หญิงดื่มแค่ร้อยละ 5.3 เด็กไทยทุกวัยในเมืองและชนบทเป็นโรคอ้วนสูงขึ้น เพราะกินแป้ง ไขมัน และน้ำตาลมาก
ที่น่าตกใจก็คือ เด็กไทยวัย 1516 ปี ดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 5.6 เท่าใน 7 ปี ซึ่งนำไปสู่การทะเลาะวิวาท อุบัติภัย และการทำผิดกฎหมาย และเด็กวัย 618 ปี มีปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมที่ถือว่า “ผิดปกติ” กว่า 687,000 คน หรือร้อยละ 5.1 ของเด็กในวันนี้ เช่น โรควิตกกังวล ซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย อยู่ไม่เป็นสุข หุนหันพลันแล่น และมีปัญหาเรื่องเพศ
ไปดูเรื่อง การศึกษา ก็แย่พอกัน เมื่อจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว เด็กวัยเรียนอายุ 15-17 ปี มีโอกาสเรียนต่อระดับ มัธยมปลาย แค่ร้อยละ 62.68 ที่เหลือไม่ได้เรียน และเด็กวัย 18-21 ปี มีโอกาสเรียนต่อระดับ อุดมศึกษา แค่ร้อยละ 57.46 เท่านั้น
เมื่อเด็กไทยมีความฉลาดต่ำกว่ามาตรฐานปกติของคนทั่วโลกมิหนำซ้ำ ยังมีโอกาสเรียนต่อได้น้อย แล้วอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนคงจะมองเห็นคำตอบได้เป็นอย่างดี
ผมก็ได้แต่หวังว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้รับการศึกษาอย่างดีเลิศจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชั้นเลิศของโลก จะหันกลับมาดูเรื่อง “การศึกษาของชาติ” ด้วยตัวเองอย่างรีบด่วนที่สุด
ต้องเร่งปฏิรูปเรื่อง การเรียนการสอน และ หลักสูตรการศึกษา ครั้งใหญ่ไปพร้อมกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า เพื่อ “ปูทาง” ไปสู่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจที่แข็งแรงในอนาคต ไม่ใช่แค่หาเสียงด้วยการ เรียนฟรี 15 ปีที่ไม่มีคุณภาพ และ การแจกตำราเก่า กับ ชุดนักเรียน เหมือนกับรัฐบาลเก่าเท่านั้น.
“ลม เปลี่ยนทิศ”