หลังจากชักเข้าชักออกอยู่หลายรอบ สุดท้ายพรรคเพื่อไทยก็ตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลรวม 6 คนคือนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 5 คนเรียบร้อยไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยื่นถอดถอนนายกฯไปแล้ว ด้วยความผิดพลาดบกพร่อง 7 ข้อหา
และที่แน่นอนมีการเสนอชื่อ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” เป็นนายกฯ
เมื่อครบกระบวนการต่างๆแล้วก็อยู่ที่รัฐบาลจะกำหนดให้วันไหนเป็นวันซักฟอก ซึ่งมีการกำหนดคร่าวๆแล้วว่าน่าจะเป็น 26-27 มี.ค. เวลา 2 วันนั้นฝ่ายค้านบอกว่า เหลือเฟือเพราะสามารถที่จะอภิปรายได้ครบถ้วนกระบวนความ
การถอดถอนนายกฯ 7 ประเด็นนั้นคงเป็นเรื่องของนายกฯที่จะไปแก้ต่างกับ ป.ป.ช. แต่การถูกซักฟอกนั้นต้องว่ากันในที่ประชุมสภาผู้แทนฯ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะมีข้อมูล มีทีเด็ดมากน้อยแค่ไหน แม้จะมีเสียงน้อยกว่าคงจะชนะยาก แต่มันก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลมากกว่า เพราะหากข้อมูลเจ๋งจริงก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
นอกเหนือจากนายกฯที่ถูกซักฟอกจำนวน 14 ประเด็น ซึ่งก็คงจะเป็นภาพกว้างมากกว่าเพราะถ้าไม่อภิปรายนายกฯมันก็ไม่สนุก ไม่เข้มข้นและไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แน่นอนว่านอกจากเรื่องทรัพย์สินแล้ว นัยว่าจะมีเรื่องการใช้เงินจาก กกต.สำหรับการพัฒนาการเมืองผิดวัตถุประสงค์ ที่ฝ่ายค้านระบุว่าจะน็อกได้
แต่ดูเหมือนว่าเป้าจริงๆน่าจะอยู่ที่เงิน 250 กว่าล้านมากกว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับทีพีไอ ส.ส.ปชป. และพรรคประชาธิปัตย์
สังเกตให้ดีว่าไม่เคยมีระแคะระคายมาก่อนว่าจะมีการยื่นซักฟอกนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และรัฐมนตรีช่วยคลัง แต่เมื่อมีชื่อขึ้นมาก็คงสงสัยว่าทำไมต้องมีชื่อนี้ เพราะปัญหาในการทำงานไม่เคยปรากฏ หรือมีเรื่องอื้อฉาว
คำตอบก็คือ เพราะอดีตของนายประดิษฐ์ที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์สมัยที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค และน่าจะเกี่ยวข้องกับเงินบริจาค 250 กว่าล้านนั่นแหละครับ...
พูดง่ายๆว่านายประดิษฐ์จะเป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญในกรณีนี้ เพราะคนที่เกี่ยวข้องไม่ได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้เหลือเพียงคนเดียวที่เกี่ยวข้อง แม้จะต่างพรรคก็ตาม
ก็อย่างที่เรื่องนี้ฉาวขึ้นมาปรากฏว่า หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ต่างก็ปฏิเสธเสียงเดียวกันว่าไม่เกี่ยว ไม่รู้ เพราะคนละยุคคนละสมัยกัน
ทีเด็ดของฝ่ายค้านน่าจะอยู่ตรงนี้ และจะมีผลต่อประชาธิปัตย์แน่นอน
นอกจากนั้น ก็มีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง คงว่ากันถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การกู้เงิน ประชานิยมที่ไม่เข้ายุค และการถือครองหุ้น คงเป็นสีสันเพื่อเพิ่มน้ำหนักการบริหารของนายกฯมากกว่า
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งมีการ “จองกฐิน” ล่วงหน้ามานานแล้วว่าด้วยความเกี่ยวพันกับพันธมิตรฯ และการปิดสนามบินขึ้นอยู่กับคำตอบของรัฐมนตรีมากกว่า
อีก 2 คนคือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.1 และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยมือขวาของนายเนวิน ชิดชอบ นอกจากปัญหาส่วนตัวที่ไปแจกเงิน แจกนามบัตร การเลือกตั้งซึ่งคดียังค้างอยู่ที่ กกต.
แต่เรื่องใหญ่ก็คงเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ควบคุมทุกอย่าง โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณหลายหมื่นล้าน
ยิ่งอธิบดีกรมนี้เพิ่งถูกย้ายด่วน เพื่อไม่ให้ลงนามคำสั่งต่างๆว่ากันว่า 3,000 กว่าเรื่อง แต่ละเรื่องมีเม็ดเงินจำนวนมาก เมื่อถูกเด้งก็คงจะต้องเปิดข้อมูลถึงเหตุว่าทำไมต้องถูกย้าย
ว่ากันว่าฝ่ายค้านได้ข้อมูลเด็ดไปเพียบ ใครทำอะไร ใครสั่งอย่างไร เม็ดเงินเท่าใด ดูท่าว่าจะเป็นอีกเรื่องที่หวังทลายห้างได้เลยทีเดียว
เอาเข้าจริงแล้วมี 2 จุดใหญ่คือเรื่องเงิน 250 กว่าล้าน ที่มุ่งเล่นงานประชาธิปัตย์โดยตรงและมหาดไทยที่จะเล่นงานกลุ่มเพื่อนเนวินให้อยู่หมัด ไม่ใช่แค่ซักฟอกตามฤดูกาลแล้ว
แค่ 2 เรื่องนี้เล่นเอารัฐบาลกินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกัน.
“สายล่อฟ้า”