ที่มา Thai E-News
โดย Colum Murphy
Far Eastern Economic Review
แปลไทยโดย hectic101
9 มีนาคม 2552
หมายเหตุ: ท่านสามารถรับชมคลิปวีดีโอการให้ัสัมภาษณ์ของคุณทักษิณ กับนักข่าวได้ที่ลิงก์
The Taming of Thaksin? (ความเชื่องของทักษิณ?)
ดูไบ - อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะอยู่สองสามครั้งภายหลังจากที่เขาถูกศาลไทยพิพากษาลับหลังเมื่อเดือนตุลาคมในกรณีการทุจริต ดังนั้น จึงมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังสุนทรพจน์ของเขาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในฮ่องกงเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันต้องการจะให้ฮ่องกงส่งตัวให้ คุณทักษิณก็ยกเลิกการเยือน นิตยสารฉบับนี้ได้พบกับเขาที่ดูไบระหว่างวันหยุดสุดสัปดาห์และได้สัมภาษณ์เขา ณ ที่ทำงานของเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
คุณทักษิณคาดว่าจะสามารถกลับไทยได้ในไม่เกินสิ้นปีนี้ เขากล่าวว่าเพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงของประเทศ การสมานฉันท์ระหว่างฝ่ายเขากับฝ่ายรัฐบาลจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า เขาได้วิงวอนถึงคนไทย โดยกล่าวย้ำถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช "ผมถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันที่จริงผมมีความจงรักภักดีอย่างยิ่ง ผมเป็นหมาบ้านที่สามารถฝึกให้เชื่องเมื่อไหร่ก็ได้" เขากล่าว "ผมเชื่องแล้วและสามารถรับการฝึกให้เชื่องได้อีก"
คุณทักษิณกล่าวว่าเขาไม่ "เคารพกระบวนการ" ที่ทำให้เขาถูกจำคุกสองปีเพราะมีส่วนได้เสียในการซื้อที่ดินที่เกี่ยวข้องกับอดีตภริยาของเขา เขาบอกว่าการตั้งข้อหากับเขานั้น "ชัดเจนว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง" (ซึ่งฝ่ายรัฐบาลปฏิเสธ) เขากล่าวว่าเขากำลังรอคอยเวลาอันเหมาะสมอย่างอดทนที่จะกลับประเทศไทย แต่เบื้องต้นจำเป็นต้องมีความสมานฉันท์แบบใดแบบหนึ่งเสียก่อน "เราต้องเลิกเป็นศัตรูกัน" เขากล่าว และได้กล่าวอีกว่า การสมานฉันท์ควรจะมีขึ้น "ก่อนสิ้นปี" "เราไม่อาจรอไปได้นานกว่านี้เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการแตกแยกของสังคมไทย"
คุณทักษิณได้ลี้ภัยอยู่นอกประเทศตั้งแต่ปลายปี 2551 เขาบินออกนอกประเทศก่อนที่จะมีคำพิพากษาลงโทษเขา นับแต่นั้นเขาก็บินไปมาระหว่าง จีน ฮ่องกง ดูไบ และก่อนหน้านี้ไม่นานก็คืออังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายนคุณทักษิณถูกอังกฤษยกเลิกวีซ่า เขากล่าวว่าเขาไม่ได้ยื่นขอวีซ่าเข้าอังกฤษใหม่ "ผมไม่มีแผนการจะไปที่อังกฤษเลย ดังนั้นผมจึงไม่ได้ยื่นขอ ผมจึงไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไรถ้าผมไปยื่นขอใหม่" เขากล่าว
คุณทักษิณกล่าวว่าเขาได้ตอบรับข้อเสนอให้พาสปอร์ตแก่เขาจากหลายประเทศ ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะระบุชื่อประเทศ "บางที จะเป็นการดีเสียกว่าที่ผมจะไม่บอกชื่อประเทศเหล่านั้น แต่ผมมีอยู่หลายฉบับ" เขากล่าว และกล่าวอีกว่าเขาเดินทางด้วยพาปอร์ตไทยเสมอ เป็นพาสปอร์ตธรรมดา ไม่ใช่พาสปอร์ตทางการฑูต เขากล่าวเพิ่มเติม
คุณทักษิณไม่ได้วิตกกังวลกับความพยายามของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันที่จะนำตัวเขากลับกรุงเทพ "ผมไม่เคยกังวล" เขากล่าวเพิ่มเติมว่าคุณอภิสิทธิ์พูดเรื่องการส่งตัวกลับ "เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง" "เขาแค่อยากทำให้ผมเสียชื่อ" เขากล่าว การส่งตัวกลับประเทศ "เป็นกระบวนการที่ยาวนาน และต้องเข้าเงื่อนไขการส่งตัวกลับ" คุณอภิสิทธิ์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ารัฐบาลของเขาจะใช้ "ทุกวิถีทางที่ทำได้" เพื่อนำตัวทักษิณกลับ ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฉบับนี้เมื่อเดือนมกราคม เขากล่าวว่าคุณทักษิณ "ควรจะกลับมาและเคารพคำตัดสินของศาล"
เพื่อจะกรุยทางสู่ความสมานฉันท์ คุณทักษิณเชื่อว่าข้อสงสัยเกี่ยวกับความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ควรจะถูกยกขึ้นมาเป็นลำดับแรก นี่เป็น "รากเหง้าแห่งปัญหา" ของสถานการณ์การแตกแยกทางการเมืองของไทย เขากล่าวว่าเป็นเพราะ "ผมได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้น แล้วผมก็ถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...แท้ที่จริง ผมมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ถ้าเรื่องนี้พลิกกลับเป็นว่าผมมีความจงรักภักดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลง"
"เราอาจจะต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ นั่นคือ ไม่ควรจะดำเนินคดีทางการเมืองต่อใครทั้งนั้น และนับจากที่เรามีการสมานฉันท์ ใครกระทำความผิดก็ต้องว่ากันตามหลักนิติธรรม"
จะตั้งต้นใหม่ได้อย่างไร? คุณทักษิณไม่ได้เรียกร้องการพระราชทานอภัยโทษ แต่เขาต้องการให้รัฐสภาผ่าน"กฎหมายเพื่อการสมานฉันท์" ซึ่ง "จะต้องได้รับความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์" กฎหมายฉบับนี้จะต้องอภัยโทษให้นักการเมืองทั้งที่ถูกกล่าวหาและถูกตัดสินแล้วว่ากระทำผิด
คุณทักษิณเชื่อว่าวิกฤติการณ์ทางการเงินของโลกทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องสมานฉันท์กันเร็วยิ่งขึ้น "ผมคิดว่าประเทศนี้กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ถ้าคุณคิดว่าจะปล่อยให้ประเทศเป็นอย่างนี้เป็นเวลานาน ก็จะทำให้ประเทศชาติและประชาชนได้รับความเสียหาย สำหรับผม ผมก็แค่รอ รักษาร่างกายให้สมบูรณ์ ผมรอได้"
การฟื้นตัวของประเทศไทยอาจจะช้าออกไปถ้านักลงทุนรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยการขาดเสถียรภาพทางการเมือง คุณทักษิณเตือน"ก่อนจะมีความรุ่งเรืองต้องมีความมั่นคงเสียก่อน ไม่มีความมั่นคงก็ไม่มีความรุ่งเรือง"
คุณอภิสิทธิ์และทีมงานของเขาขาดวิสัยทัศน์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าว "เอเซียจะเป็นจักรกลแห่งการเติบโตของโลกภายหลังซับไพรม์" เขากล่าว "เราต้องมีกลยุทธ์ว่าเอเซียจะไปทางไหนและประเทศไทยจะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น"
คุณทักษิณขอร้องให้คนไทยเอาชนะการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของชาติ "เรานั่งในเรือลำเดียวกันคือประเทศไทย ถ้าเราสู้กัน เรือก็จะล่ม เรือจะไม่มีทางไปถึงฝั่ง ดังนั้น แทนที่จะต่อสู้กัน เราควรร่วมกับพระองค์ท่านพายเรือสู่ฝั่ง ทุกคนจะปลอดภัย ผมคิดว่าเราควรหันหน้าเข้าหากัน"
เขายังเรียกร้องให้คนไทยรักพระเจ้าอยู่หัว "ถ้าเราไม่รักกัน" เขากล่าว "รักพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนักเพื่อประชาชน พระองค์ท่านทรงชราแล้ว พระองค์ต้องการกำลังใจจากประชาชนของพระองค์ หากประชาชนของพระเจ้าอยู่หัวต่อสู้กัน จะไม่เป็นการดีต่อประเทศชาติ ทุกคนในประเทศไทยควรร่วมมือร่วมใจ จับมือผนึกกำลังกันแล้วความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นในประเทศ"