WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, June 15, 2010

ความเป็นมิตรที่หายไปในธรรมะ

ที่มา มติชน

สัมภาษณ์ "อาจารย์โกวิท เอนกชัย" หรือ "เขมานันทะ" (ตอนที่ 2) โดย "วิจักขณ์ พานิช"

วิจักขณ์: ตอนนี้กระแสปฏิบัติธรรมกำลังมาแรงครับอาจารย์ ธรรมะเดี๋ยวนี้มีดีลิเวอรี่ แถมมีปีก คู่มือฮาวทูบรรลุธรรมในเจ็ดวันก็มี สแกนกรรมก็ได้ อาจารย์ว่าพุทธศาสนาแบบนี้จะไปไหวหรือไปไหนเหรอครับ


เขมานันทะ: คนสมัยก่อนเขาไม่อวดเก่ง อวดดีกันในธรรม หากจะมีสิ่งที่เขาภาคภูมิใจ คือการเป็น "ศิษย์มีครู"


วิจักขณ์: คือ ภูมิใจว่าเป็นศิษย์มีครู ไม่ได้ภูมิใจว่าฉันเก่ง


เขมานันทะ: พูดได้เต็มปากว่าฉันเป็น "ศิษย์มีครู" อันนี้ไม่ได้เป็นการอวดว่าครูเก่งหรือครูดังด้วยนะครับ แต่เป็นการบอกว่าครูของเราอบรมเรามา ขัดเกลาเรามา เคี่ยวเข็ญเรามา ครูเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง


วิจักขณ์: แล้วถ้าศึกษาพุทธศาสนาโดยไม่มีครูล่ะครับ อ่านหนังสือเอา ฟังเทศน์เอา ศึกษาพระไตรปิฎก กราบพระพุทธเจ้าเอาก็ได้


เขมานันทะ: ไม่มีครู จะว้าเหว่เกินไปครับ ฉันมาเดี่ยว ฟังดูเท่ห์ แต่ว่าจริงๆไม่เป็นอย่างนั้นครับ จริงๆเราต้องการเพื่อน และเพื่อนก็ต้องการเราด้วยครับ ดังนั้นจะเรียกว่าช่วยสังคมหรืออะไรก็สุดแท้ เราควรจะให้ชีวิตเรามีส่วนร่วมกับชีวิตคนอื่น แล้วความเป็นมนุษย์ของเราก็คงจะถูกพัฒนาขึ้นมาจากจุดนั้น น้อมใจเราให้รู้จักให้ รู้จักรับ รู้จักขอ เขาไม่ให้ก็ไม่โกรธ บุคลิกภาพเยี่ยงนี้ไม่อาจพัฒนาได้ที่อื่นครับ นอกจากกับคนใกล้ชิด คนที่อยู่ใกล้ที่สุด


วิจักขณ์: ที่ผมมองเห็นชัดก็คือ เวลาเรียนกับครูเนี่ย มันทำให้เราได้เรียนความเป็นมนุษย์จากครูด้วย


เขมานันทะ: ใช่ครับ ใช่ ถูกต้องเลยครับ ความเป็นมนุษย์นั้นเป็นหน่อ เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์เท่านั้น ยังต้องเอามาเพาะ สร้าง บำรุงเลี้ยงดู จนกระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมา และสิ่งที่เข้ามาค้ำจุนก็คือเพื่อนครับ คำว่าเพื่อนเป็นคำที่ซึ้งใจที่สุดเลยครับ เราจะรู้เลยว่า เมื่อเราไม่มีเพื่อน เราไม่มีทุกสิ่ง "ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง" สุนทรภู่ว่าไว้ครับ


ไม่ใช่อวดดีนะครับ แต่ผมคิดว่า เราดีแต่สร้างเกราะหุ้มตัวเองไว้ รู้เขาให้มากที่สุด แล้วให้เขารู้เราน้อยที่สุด โอกาสที่จะชนะมีอยู่ มิตรภาพมันเลยกลายเป็นรูปนี้ไป


วิจักขณ์: ทุกครั้งที่ฟังอาจารย์พูดถึงท่านอาจารย์พุทธทาส ผมจะรู้สึกเหมือนกับท่านอาจารย์มายืนอยู่ข้างๆ อีกอย่างคือผมชอบมองไปที่ตาของอาจารย์ ขณะที่อาจารย์พูดถึงครู ประกายตาดูมีความคิดถึง ความโหยหา ขณะเดียวกันก็มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญอยู่ในนั้น รู้สึกได้ว่าอาจารย์มองท่านอาจารย์เป็นครูจริงๆ ...คือเป็นมนุษย์


แต่ทุกวันนี้หลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านอาจารย์พุทธทาสดูจะถูกนับถือยกย่องในความสมบูรณ์แบบ เหมือนจะถูกยกไว้ราวกับเทพไปแล้วนะครับ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าไม่มีใครสามารถคิดต่าง หรือ ปฏิบัติในแนวทางที่ต่างออกไปได้เลย กลายเป็นว่าสวนโมกข์ทุกวันนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับความหลากหลายสักเท่าไหร่


เขมานันทะ: เป็นคำถามที่น่าสนใจนะครับ เมื่อเราไปเยี่ยมสวนโมกข์ เราถูกต้อนรับเป็นมิตร หรือว่าเป็นบริวารคนใหม่ ต่างกันนะครับ (นิ่งเงียบนาน)


มิตรที่ดีเป็นเหมือนแผ่นดินที่เชื่อมกันเป็นผืนเดียว แต่มิตรที่ไม่ดีก็เป็นเหมือนรอยร้าวของชีวิต ศัตรูคือมิตรที่แปรพักตร์ไปเท่านั้น ถ้ายังไม่แปรพักตร์ ก็ไม่ใช่ทั้งมิตร ไม่ใช่ทั้งศัตรู


วิจักขณ์: มิตรที่ดีก็ต้องตักเตือนกันได้ด้วยใช่ไหมครับ


เขมานันทะ: ครับ มิตรที่ดีต้องตักเตือนกันได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้ ท่านอาจารย์สวนโมกข์เป็นแบบอย่างตรงนี้มาก แต่ชาวพุทธบ้านเรามักมองการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการคุ้ยเขี่ย สร้างปัญหา หรือไม่ให้ความเคารพ แต่จริงๆแล้วการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งดีนะครับ


การวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการขมวดปม เพราะถ้าไม่มีใครช่วยขมวดปมให้ เราจะงงมาก เราจะสับสนมากๆว่าอะไรเป็นอะไร การปล่อยวางทั้งที่ยังไม่เห็นการถักทอของปมปัญหา ย่อมไม่สามารถนำมาซึ่งปัญญาได้


................


วิจักขณ์: ตะกี๊อาจารย์บอกว่า "ศัตรูคือมิตรที่แปรพักตร์ไป"


เขมานันทะ: ถ้ายังไม่เป็นเพื่อนกันนี่ ศัตรูก็ไม่เกิดครับ


วิจักขณ์: แล้วในสถานการณ์ตอนนี้ คือจริงอยู่ คนไทยอาจจะเคยรักกัน แต่มาถึงตอนนี้คนไทยก็ไม่ได้รักกันนัก เมื่อรู้สึกเป็นศัตรูกันไปแล้ว ธรรมะจะกลับมาทำให้เป็นมิตรได้ง่ายดายแบบในมิวสิควีดีโอเลยเหรอครับ


เขมานันทะ: ความขัดแย้งนี่เป็นจุดที่มิตรภาพแบกทานไม่ไหวครับ ขัดแย้งมากเข้าก็แตกกัน เหมือนกับคนเล่นไพ่ มองแง่หนึ่งเป็นเพื่อนกัน มองอีกแง่หนึ่งกำลังจะกินกัน


วิจักขณ์: แล้วถ้าจะให้ศัตรูกลับมาเป็นมิตรล่ะครับ


เขมานันทะ: เป็นเรื่องที่นับว่าน่าอนุโมทนา ถ้าทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตรได้ นับว่าวิเศษเลยครับ แต่ในลักษณะสังคมที่แบ่งกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน พอแตกจากกลุ่มนี้ก็ไปเข้ากลุ่มโน้นครับ ดูการเมืองเป็นตัวอย่าง การย้ายพรรคย้ายกลุ่มต่างๆ พรรคกลายเป็นที่หลบหลีก ....เลี่ยงที่จะเปลี่ยนนิสัย


พี่หนึ่ง (เพื่อนร่วมสนทนา): แล้วถ้าเราจะฝึกการให้ความปรารถนาดีกับคนที่เราไม่ชอบ จะต้องเริ่มยังไงครับ


เขมานันทะ: เป็นอุดมการณ์ของชาวพุทธนะครับ ที่ปรารถนาดีแม้แต่กับศัตรู หรือกับคนที่เกลียดเรา เป็นอุดมการณ์ เป็นเสมือนธงที่โบกพลิ้วว่าเราจะถือหลักกันแบบนี้ เราจะวางท่าทีกันแบบนี้ แต่ในภาคปฏิบัติเราก็ไม่สามารถทำได้เท่าที่อุดมการณ์เราวางไว้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาครับ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ยอมรับได้


วิจักขณ์: คือก็ต้องยอมรับให้ได้ด้วย ว่าตอนนี้มันก็เป็นแบบนี้ เรายังมีข้อจำกัด เรายังมีอคติต่อกัน


เขมานันทะ: ใช่ครับ


วิจักขณ์: มันเหมือนว่าเราเคยรักกันมาก่อน แต่จะให้กลับมารักกันอีกในตอนนี้มันยาก เพราะหลายอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องทำความเข้าใจกันใหม่


เขมานันทะ: ความเชื่อที่ว่าคนที่รักกัน คือ คนที่เคยพบกันแล้วเมื่อชาติปางก่อน มีเสน่ห์ในทางศาสนามาก เราเคยร่วมศรัทธากันมาแล้ว ถ้าบุคคลเชื่อก็มีผลจริงเหมือนกัน เช่นคนรักจะแยกจากกันไป คิดไปว่ารักกันมาตั้งกี่ภพชาติแล้ว จะเลิกร้างหมางเมินกันไปได้อย่างไร


แต่นี่เราใช้เหตุผลในกรณีหนึ่ง(ตอนเกลียดกัน) แต่เราใช้ศรัทธาในอีกกรณีหนึ่ง(ตอนรักกัน) มันจึงโยกโคลงไม่แน่นอน ชาวพุทธเป็นแบบนี้ครับ แต่โดยข้อเท็จจริงนั้นหลายเรื่องเราปฏิบัติกันอยู่แล้ว เช่น นาย ก นินทา นาย ข เราไปเจอนาย ก นาย ก ถามว่านาย ข นินทาอะไรชั้น เราช่วยโกหกให้ เปล่าเค้าไม่ได้ว่าอะไร เราโกหกแต่ว่ามันเกิดผลดีขึ้นมา หรือกรณีที่คุณพ่อสูบบุหรี่แล้วสอนลูกว่าอย่าสูบนะ ผมมองว่ามีเหตุผลด้วยอำนาจของความรักและหวังดีต่อลูก เขายังอุตส่าห์ห้ามนะ แต่โลกสมัยใหม่ไม่เป็นอย่างนั้นครับ ลูกจะสวนกลับเลยว่าพ่อยังทำไม่ได้ อย่ามาพูดเลย ความสัมพันธ์ฉันมนุษย์ก็สิ้นสุดลงครับ เมื่อสื่อกันไม่ได้ก็จบ แต่สำหรับผมการปกป้อง คนที่เรารักเป็นกิจที่น่าสรรเสริญ เพราะมันทำให้ความหมายของคำว่าความรักเต็มเปี่ยมขึ้นมาเสมอ


วิจักขณ์: คือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ยังคงรักษาศรัทธาในกันและกัน เพื่อที่การสื่อสารจะได้เกิดขึ้นได้


เขมานันทะ: ครับ


วิจักขณ์: แล้วอาจารย์เห็นด้วยมั้ยครับ ว่าเอาชนะใจศัตรู คือ เขาตบแก้มซ้ายเรา เราก็ยื่นแก้มขวาให้เขาตบ


เขมานันทะ: ไม่ใช่เป็นการประชดประชันนะครับ


วิจักขณ์: (หัวเราะ) ไม่ได้ประชดครับ เอาจริงๆ คือ เรายอมถูกกระทำเพื่อเอาชนะใจศัตรูให้ได้


เขมานันทะ: ความเป็นไปได้มีเสมอนะครับ ...และความเป็นไปไม่ได้ก็มี เป็นพื้นฐานของมัน ขึ้นกับบุคคลนั้นๆ [วิจักขณ์: (หัวเราะ) ..เขาอาจจะฆ่าเราก็ได้] คนบางคนกล้าหาญ ชอบท้าทาย แต่คนบางคนไม่ชอบครับ คนไม่เหมือนกัน


แต่ยังไงเสีย ความเกลียดก็เป็นสิ่งที่น่าชิงชังที่สุดครับ มันรู้จักยาก ถ้าไม่แม่นยำในวิปัสสนาแล้วจะมองไม่เห็น ความเกลียดมันทำลายความสุข ทำลายความยุติธรรม มันเหมือนแบคทีเรีย เราเกลียดใครนี่บรรยากาศสูญเสียหมดเลยครับ เรานั่งคุยกับเพื่อนอยู่ เราเห็นบุคคลที่เราเกลียดเดินเข้ามา ดอกไม้ถึงกับกลายเป็นของเหม็นไปเลย


ความเกลียดความชิงชัง ที่จริงมันทำลายจิตใจของเจ้าตัวนั่นเองครับ เวลาเกลียดใคร คนที่ถูกเกลียดไม่รู้เรื่องด้วย


วิจักขณ์: มีธรรมะเพื่อรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ท่ามกลางความขัดแย้งนี่ยากเหมือนกันนะครับ อาศัยความกล้า ความอดทน ความพากเพียร ความซื่อตรง จนหัวจิตหัวใจกว้างใหญ่ มั่นคง อ่อนโยน เป็นมิตรเหนือเหตุเหนือผล เหนือถูกเหนือผิด มันยากจนหลายคนอาจขอพึ่งอย่างอื่นที่ง่ายกว่า เพราะไม่อยากทนทุกข์ไปแบบนี้ สมัยอาจารย์หนุ่มๆ อาจารย์เคยมีประสบการณ์ในไสยศาสตร์ หรือมนต์ดำบ้างมั้ยครับ


เขมานันทะ: ไสยศาสตร์ตามตัวแปลว่า ศาสตร์ที่ดีกว่า คือดีกว่าไม่มีครับ สมมติว่าเราต้องเดินทางไปคนเดียวในที่เปลี่ยว ต้องทำไสยศาสตร์ครับ อย่างควานช้างจะไปหาช้างตัวใหม่ ก็ต้องทำพิธีไสยศาสตร์ เพื่อความเชื่อมั่น ต้องทำพิธี


วิจักขณ์: ทำไว้ดีกว่าไม่มี หรือทำไว้ดีกว่าไม่ทำ


เขมานันทะ: แต่บางท่านแปลไสยศาสตร์ว่า ศาสตร์แห่งการหลับ ก็ได้เหมือนกัน แต่ดูแล้วแปลตามใจฉันเสียมากกว่า


วิจักขณ์: แสดงว่าไสยศาสตร์ก็มีประโยชน์ของมัน


เขมานันทะ: แน่นอนครับ มันขึ้นกับเจตนารมณ์ในการกระทำนั้น ไสยศาสตร์นั้นเรื่องหนึ่ง พิธีนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ชาวบ้านนั้นสนใจไสยศาสตร์ไม่มากเท่าสนใจในพิธี ยิ่งไม่รู้เท่าไหร่ก็ยิ่งขลังเท่านั้น


เมื่อสองวันนี้มีคนหนึ่งอยู่ในซอยเดียวกันนี้เพิ่งซื้อรถคันใหม่ เขาขับมาขอให้ผมเจิม ผมก็เจิมให้ บอกว่าคาถาประจำรถคือ "ขับอย่าประมาท" ดูแกจะงงๆอยู่ครับ (หัวเราะ)


พี่หนึ่ง (เพื่อนร่วมสนทนา): อาจารย์ต้องพูดเป็นภาษาบาลีมั้งครับ จึงจะเกิดความขลังขึ้นมา ทำให้เขาไม่รู้ว่าอาจารย์ทำอะไรกับรถของเขาอยู่ (หัวเราะ)


เขมานันทะ: (หัวเราะ) ผมไม่กล้าถึงขนาดนั้นครับ คือเราช่วยให้เขาพ้นจากความกลัวนะ แม้ชั่วคราว แต่ถ้าให้ชักนำไปในทางมืดอีก ไม่เอาด้วยครับ


วิจักขณ์: ดูแล้วไสยศาสตร์กับพุทธนี่มันต่างกันนิดเดียวเองนะครับ ไสยศาสตร์ดูจะขับเคลื่อนจากความกลัว แต่พุทธนั้นขับเคลื่อนด้วยความกล้า ...ความกล้าเผชิญ กล้ายอมรับความจริง


เขมานันทะ: เป็นการอธิบายที่ดีครับ


วิจักขณ์: แต่ว่าดูภายนอกก็อาจจะคล้ายกัน ไม่ต่างกันเท่าไหร่


เขมานันทะ: สิ่งที่มาคู่กับมนตรา คือคาถา เมื่อศิษย์ไปเรียนมนตรา อาจารย์สั่งว่า ถ้าเจอเสือให้ร่ายคาถา แต่ว่าต้องวิ่งขึ้นต้นไม้ด้วยเพื่อช่วยแรงคาถา (หัวเราะ) เป็นเรื่องเล่าขำๆครับ ...เชื่อแรงคาถาเพื่อให้มันขึ้นครับ ที่เรียกว่าของขึ้น


วิจักขณ์: ในทางโลก คนใช้ไสยศาสตร์กัน เช่น สาปแช่ง เล่นของ มุ่งหวังทำร้ายคนอื่น แล้วที่พุทธศาสนาบอกว่าคนที่มีธรรมะ ถึงจะโดนสาปแช่ง ถึงจะโดนเล่นของ ก็ยังปลอดภัย...


เขมานันทะ: ผมเห็นด้วยครับ


วิจักขณ์: อาจารย์อธิบายยังไงครับ เพราะคนที่โดนสาปแช่ง โดนของนี่ก็มีนะที่โดนจริงๆ ชีวิตตกต่ำย่ำแย่จริงๆ แล้วคนที่มีธรรมะรอดจากเกมไสยศาสตร์ตรงนี้ได้ยังไง


เขมานันทะ: เรื่องทางโลกขึ้นอยู่กับความเชื่อนะครับ ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องเชื่อในแนวทางเดียวกันจึงจะมีผลครับ ถ้าคนหนึ่งพูดภาษาจีนอีกคนพูดภาษาลาวไม่มีผลเลยครับ อย่างคัมภีร์พิชัยสงครามของพม่ากับไทย เล่มเดียวกันครับ ใช้ร่วมกัน ดังนั้นเมื่อฝ่ายไทยประกอบพิธีอะไรก็มีผลต่อฝ่ายพม่า เพราะเค้าเรียนคัมภีร์เดียวกันมา


วิจักขณ์: ถ้าให้ละเอียดลงไปในเรื่องของจิตใจ เหมือนว่าถ้าใช้ภาษาของความเกลียดชังด้วยกัน ก็ใช้กันได้ แต่ถ้าคนหนึ่งพูดภาษาของความเกลียดชัง แช่งมา แล้วเราพูดภาษาของความรัก ตอบไป มันก็ไม่มีผลต่อกัน เพราะมันพูดกันคนละภาษา


เขมานันทะ: สังเกตได้แม่นยำทีเดียวครับ


วิจักขณ์: แต่ขณะที่เราพูดกันคนละภาษา ถ้าจะได้ผลจริงอาจต้องไปสู่อีกขั้นหนึ่ง คือ การเข้าไปเรียนภาษาของเขาและแปลเป็นภาษาของเราได้ด้วย รับฟังความเกลียดชังของเขาได้ด้วยความเข้าใจ พร้อมที่จะเดินเข้าไปหา และแปรเปลี่ยนความเกลียดชังนั้นเป็นพลังของความรักได้ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ


เขมานันทะ: ใช่ครับ คล้ายๆว่าต้องรู้เขารู้เรา อย่างพิธีตัดไม้ข่มนามของพม่า ตอนสู้กับอังกฤษ ทำกันอย่างเอาจริงเอาจัง ฝรั่งไม่เข้าใจความหมาย มันเอาปืนยิงตู้มเข้าไป วิ่งหนีกันแทบไม่ทัน เรียกได้ว่า หากจะได้ผลจริงต้องรู้ทางกันและกัน แต่หากจะให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น ก็ต้องรู้ให้ถึงใจของกันและกัน นั่นถือเป็นหลักชัย ที่ต้องอาศัยการก้าวเดิน