WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, June 16, 2010

บ้านเมืองวุ่น! แต่หุ้นกระฉูดชนเพดาน!! ซื้อคืน‘ไทยคม’ปากไวไปมั้ง?

ที่มา บางกอกทูเดย์



การออกข่าว “ซื้อคืนไทยคม” ถือเป็นเผือกร้อน กระแสฮอตล่าสุด ที่ทำให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปั่นป่วน เพราะจริงๆ แล้วยังเป็นแค่แนวคิด ก็คนรอบข้างนายกฯ ปากไวกันไปก่อนแล้ว กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองอย่างมากขึ้นมาในทันที กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีแนวคิดที่จะซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจากเทมาเส็ก เรียกได้ว่า ทั้งสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมือง

ภาคเศรษฐกิจ นักลงทุนไทย และนักลงทุนต่างชาติ ต่างมีการวิพากษ์วิจารณ์กันกระหึ่ม รัฐบาลสามารถสร้างกระแสได้ชนิดที่ต้องยอมรับว่า “ฝีมือ” จริงๆ เพราะแม้ในช่วงนี้จะเป็นกระแสบอลโลกฟีเวอร์ แต่มาเจอเรื่องซื้อคืนไทยคม บอลโลกก็ยังกลบกระแสไม่อยู่ ปัญหาเพียงแค่ว่า เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่หลากหลายสุดแท้แต่ว่า

ใครจะมองในมุมไหน มองในมุมรัฐบาล เหตุผลก็มีการเผยไต๋ออกมาชัดเจนแล้วว่า มองในแง่ของความมั่นคงเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่พูดเมื่อไหร่ก็ใช้เป็นข้ออ้างได้เมื่อนั้น และเช่นเดียวกับกลุ่มสีเสื้อต่างๆ ที่ยืนอยู่ในขั้วต้องการให้คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ปิดฉากจากประเทศไทยไปตลอดกาล ต่างก็ออกมา

ขานรับอุตลุดว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะซื้อคืน แถมบางรายไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในโลกของเศรษฐกิจทุนนิยมในยุคปัจจุบันด้วยซ้ำ เพราะเสนอให้รัฐบาลใช้การยึดคืนมาเป็นสมบัติของรัฐดื้อๆ อย่างนั้นเลย... โดยอาจจะลืมนึกไปว่าแค่นี้ประเทศไทยในสายตาโลกก็บิดเบี้ยวไปเยอะแล้ว หากขืนใช้วิธียึดคืน ก็แทบจะไม่ต่างกับ

การปิดประตูเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศไปเลย หน่วยงานอย่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ คงต้องปิดป้ายหยุดกิจการไปเลย เพราะเป็นเรื่องยากที่จะตอบสังคมต่างประเทศว่า รัฐบาลไทยใช้กฎหมาย ใช้เหตุผล หรือใช้อำนาจข้อใดในการยึดคืนไทยคม??? ในขณะที่หากเป็นมุมมองของนักลงทุน

ส่วนใหญ่จะจับตามองกันเขม็งว่า สุดท้ายเรื่องนี้จะยุติอย่างไร จะมีการซื้อคืนจริงๆ หรือไม่ และที่สำคัญจะซื้อคืนในราคาใด??? ถ้าเป็นอย่างที่มีการปล่อยข่าวจริงๆ คือ ใช้เงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท การเก็งกำไรราคาหุ้นไทยคมในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกระฉูดแน่ เพราะราคา ณ ปัจจุบัน

ที่ขยับขึ้นมาหลังรัฐบาลยอมรับว่าสนใจที่จะซื้อไทยคมคืน จากราคาหุ้นละ 4-5 บาท ก็ขยับขึ้นมาเป็น 6-7 บาทเข้าไปแล้ว... จนเกิดการตั้งคำถามว่า น่าเป็นข่าวที่กระทบกับราคาหุ้นหรือไม่ ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ กลต.จะทำอย่างไรกับกรณีข่าวนี้ ... และจะสั่งแขวนหุ้นพักการซื้อขายจนกว่าข่าวนี้จะนิ่งหรือไม่???

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ แม้ว่านายอภิสิทธิ์ อาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ ในเรื่องของการให้ข่าวที่กระทบกับราคาหุ้น แต่เรื่องอย่างนี้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องถือว่าเชี่ยวชาญชำนาญเกมตลาดหุ้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเคยเป็นวาณิชธนกิจตลาดหุ้นมาเองกับมือ

จึงควรที่จะเป็นพี่เลี้ยงนายอภิสิทธิ์ ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด เพราะแค่นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า รัฐบาลมีแนวคิดซื้อดาวเทียมไทยคมจริง ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ เหตุผลคือถ้าคำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงในเรื่องของดาวเทียม “ใช่ครับ ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้..ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ถ้าได้คืนมา

แต่เราก็ต้องดูความสมเหตุสมผลในเรื่องของเงื่อนไขราคาต่างๆ ทั้งนี้ รัฐบาลจะซื้อเฉพาะดาวเทียมเท่านั้น ส่วนจะใช้เวลานานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง” นายอภิสิทธิ์พูดชัด เท่านี้ราคาหุ้นไทยคมก็เก็งกำไรกันอุตลุดแล้ว ยิ่งนายศิริโชค โสภา ในฐานะเลขานุการส่วนตัว นายอภิสิทธิ์ ออกมายืนยันซ้ำว่านายกรัฐมนตรี

ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ศึกษาแนวทางซื้อหุ้น บริษัทไทยคม คืนจากกลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์ โดยขณะนี้รัฐบาลส่งตัวแทนคุยกับเทมาเส็กแล้ว ซึ่งทางเทมาเส็กก็พร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอจากรัฐบาลไทย แถมให้รายละเอียดด้วยว่า ในเบื้องต้นการซื้อหุ้นคืนนั้น

อาจจะเป็นไปได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การให้รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมและมีความสนใจเข้าไปซื้อ เช่น บริษัท อสมท. และ กสท.โทรคมนาคม (กสท.) และแนวทางที่ 2 คือ ให้คนไทยมีส่วนร่วมในการระดมเงินซื้อดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของคนไทย ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งกองทุนไทยคมและให้คนไทยเข้าไปถือหุ้น

“หากจะซื้อเฉพาะดาวเทียม คาดว่าจะใช้เงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดูด้วยว่าทางเทมาเซคยินดีจะขายให้เฉพาะดาวเทียม หรือจะขายให้ทั้งบริษัท รวมทั้งขึ้นอยู่กับรายละเอียดข้อเสนอจากทางรัฐบาลไทยด้วย” นายศิริโชคย้ำยืนยัน นี่หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ร้อนแรง

และคนออกมาพูดไม่ใช่รัฐบาลแล้ว รับรองเจอดาบจากทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ กลต.อย่างแน่นอน ซึ่งนายกรณ์ นั้นรู้ดีที่สุด จึงตอบเลี่ยงในเรื่องนี้ว่าไม่ขอพูดถึง เนื่องจากไม่เหมาะสม เพราะทั้ง บริษัท ชินคอร์ป และบริษัท ไทยคม เป็นบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หากพูดไปจะไม่ยุติธรรมกับผู้ถือหุ้นทุกๆ ราย

ดังนั้นคงไม่มีอะไรที่จะเปิดเผยได้ “ผมยอมรับว่าผมเดินทางไปพบกับเทมาเส็กจริง ในช่วงหลังมีการบุกสถานีดาวเทียมไทยคมที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี แล้วผมก็ออกค่าตั๋วเองด้วย แต่ผมขอไม่พูดเรื่องนี้” นายกรณ์ กล่าว อย่างไรก็ตามนายกรณ์ให้เหตุผลว่า การที่เดินทางไปพบเทมาเส็ก ก็เนื่องจากเทมาเส็ก

ถือว่าเป็นหน่วยงานสำคัญหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน และเป็นมิตรที่ดีกับไทย เพราะฉะนั้นจะมีอะไรก็ย่อมจะพูดคุยทำความเข้าใจกัน ซึ่งกรณีบริษัทที่เทมาเส็กถือหุ้นใหญ่อยู่ก็เป็นปกติในการที่จะพูดคุยกัน “หากพูดไปจะไม่ยุติธรรมกับผู้ถือหุ้นทุกๆ ราย รวมทั้งจะซื้อหรือไม่ซื้อ

จะขายหรือไม่ขายเรื่องเหล่านั้นไม่เหมาะสมที่จะชี้แจง” ยิ่งเรื่องนี้ทาง บ.เทมาเส็ก จะยินดีหรือไม่นั้น นายกรณ์ ตอบว่า ขอไม่พูดแทนเขา ถ้าให้ข้อมูลมากกว่านี้จะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ร.บ. ตลาดหลักทรัพย์ แล้วจะมีผลต่อการซื้อขายหุ้น จึงไม่ขอพูดอะไรกันมากกว่านี้ ส่วนกรณีที่นายกฯ

ให้กระทรวงการคลังไปศึกษา การจะศึกษาหรือไม่ศึกษาอย่างไร เมื่อมีประเด็นที่จะต้องชี้แจงเพื่อให้สาธารณชนรับรู้ก็ขอชี้แจงในตอนนั้น เรียกว่านายกรณ์เป็นมวยเกี่ยวกับเรื่องตลาดหลักทรัพย์ แต่คนอื่นไม่ใช่ เพราะฉะนั้นแค่เท่าที่เป็นข่าวกระฉ่อนทั่วประเทศ ราคาหุ้นไทยคมก็ขยับแล้ว และคำถามในแวดวงนักลงทุนก็กระหึ่มแล้ว

โดยปรากฏว่าราคาหุ้นของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ทะยานขึ้นได้อย่างร้อนแรง ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตลาด และปรับขึ้นจนชนเพดานสูงสุด (ซีลลิ่ง) ในช่วงบ่ายของวันที่ระดับ 7.05 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1.60 บาท หรือ 29.36% มูลค่าการซื้อขาย 825.44 ล้านบาท เป็นหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด

โดยมีมูลค่าซื้อขายมากเป็นอันดับ 8 นักวิเคราะห์จาก บล.อยุธยากล่าวว่า ขั้นตอนการซื้อหุ้นไทยคมของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาการศึกษาอีกนานว่าจะซื้อในรูปแบบใด จะใช้แหล่งเงินทุนจากไหน ที่สำคัญทางเทมาเส็กยังไม่ได้สรุปที่จะขายกิจการดาวเทียม นักวิเคราะห์มองว่า ในปี 2549 เทมาเส็กใช้เงิน

ซื้อไทยคมด้วยมูลค่า 17,000 ล้านบาท ในราคา 15.10 บาทต่อหุ้นจำนวน 1,100 ล้านหุ้น หากรัฐบาลต้องการซื้อเฉพาะดาวเทียมกลับมา คาดว่าจะต้องใช้เงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่หากรัฐบาลไทยต้องซื้อไทยคมทั้งหมด จะต้องใช้เงินราว 17,000 ล้านบาท ส่วนนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง

มองว่าเป็นกรณีที่ประเมินได้ยากว่ารัฐบาลจะซื้อไทยคมจริงหรือไม่ แต่หากจะซื้อจริงต้องใช้เวลานาน ส่วนจะใช้เงินมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับราคาที่ตกลงจะซื้อขาย ซึ่งมูลค่าหุ้นตามบัญชี (บุ๊กแวลู) ของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ 13.80 บาท/หุ้น แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะต่อลงไปอีก ขณะที่ราคาที่บริษัทฯ ให้ตามปัจจัยพื้นฐานนั้น

อยู่ในระดับ 8.40 บาท/หุ้น นอกจากนี้ หากรัฐบาลจะซื้อหุ้นไทยคมก็ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) ด้วย อย่างไรก็ตามหากสิ่งที่รัฐบาลไทยสนใจ คือ ดาวเทียม ซึ่งหากจะซื้อเฉพาะดาวเทียม และหากเทมาเส็กยินยอมขาย ก็จะเป็นราคาเฉพาะดาวเทียม ซึ่งอาจจะเป็นวงเงิน

ประมาณ 1,000 ล้านบาท – 5,000 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นการซื้อขายทั้งบริษัท รับรองได้ว่าจะใช้เงินเป็นระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไปอย่างแน่นอน เพราะต้องไม่ลืมว่า กองทุนเทมาเส็กเอง ก็เป็นหน่วยงานลงทุนที่มุ่งหวังกำไรหรือผลประโยชน์ตอบแทนในการลงทุน การที่จะให้ยอมขายขาดทุนให้กับรัฐบาลไทยนั้น เชื่อว่าคงไม่ยอมแน่

เพราะที่ผ่านมาแค่ผลการดำเนินงานของกองทุนเทมาเส็กลดลง รัฐบาลสิงคโปร์ก็เข้ามาเล่นงานตรวจสอบ โยกย้ายผู้บริหารกองทุนเทมาเส็กอุตลุดแล้ว ฉะนั้นเชื่อได้เลยว่าทางเทมาเส็กฯ คงจะต้องขอดูเงื่อนไขต่างๆ จากรัฐบาลไทยก่อน เพราะถือเป็นเงื่อนไขในเชิงธุรกิจ เนื่องจากผู้บริหารเทมาเส็กก็ต้องไปตอบผู้ถือหุ้นถือกองทุน

รวมทั้งตอบกับรัฐบาลสิงคโปร์ให้ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจริงๆ แล้ววันนี้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดข้อเสนอจากทางรัฐบาลไทย ซึ่งในเมื่อในวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ก็ไม่น่าที่จะให้ข่าวกระหึ่มกันออกมาก่อนเช่นนี้ ปัจจุบัน บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ซึ่งมีกลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์

เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น นับเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ไทยคม จำนวน 450,870,934 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.14% ตามมาด้วย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 3.52 % นายอำนวย พิจิตรพงศ์ชัย ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 1.12% นางราณี เอื้อทวีกุล ถือหุ้นอยู่ 1.09 % และนางบุปผา งามอภิชน

ถือหุ้นอยู่ 1.09 % แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ รัฐบาลจะเอาเงินจากไหนมาซื้อ และหากได้คืนมาแล้วจะบริหารจัดการอย่างไร จะใช้ประโยชน์เพื่อการเมืองของรัฐบาล หรือเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งหมดคือคำถามที่รัฐบาลต้องตอบประชาชน