WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, June 19, 2010

คุณโม่ง! รวยเละอีกแล้ว!

ที่มา บางกอกทูเดย์



นักลงทุนด่าเช็ด “ไอ้โม่ง”ปั่นหุ้นไทยคมชัวร์ เพราะทั้งราคาหุ้น ทั้งวอลุ่มการซื้อขาย และมูลค่าการซื้อขาย โด่งขึ้นมาผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด งานนี้พรรคประชาธิปัตย์เปลืองตัวเป็นอย่างมาก แม้รัฐบาลจะอ้างว่าแนวคิดที่จะซื้อธุรกิจดาวเทียมคืนจากบริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) (THCOM) เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ...อ้างว่าต้องการให้ธุรกิจดาวเทียมกลับมาเป็นของคนไทย แต่แน่นอนว่าการออกมาให้ข่าวว่าจะซื้อคืน

ไทยคมของคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมทั้งการยืนยันข่าวทั้งของนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีนั้น หนีไม่พ้นเลยที่จะส่งผลให้ราคาหุ้นไทยคมปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและมีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างคึกคักจนผิดปกติ

ทำให้ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ต้องเข้าไปตรวจสอบหาความผิดปกติในการซื้อขาย เพราะเกิดข้อสงสัยกระหึ่มไปทั้งตลาดหุ้น ว่าอาจมีการใช้ข้อมูลภายในมาหาประโยชน์ในการซื้อขายหุ้น หรือ อินไซเดอร์เทรดดิ้ง

รวมถึงการสร้างราคาหรือปั่นหุ้น สาเหตุที่เกิดข้อสงสัยก็เพราะ หุ้นไทยคมนั้นราคาอยู่นิ่งๆแถวๆ หุ้นละ 5 บาทมานานมาก โดยในเดือนมีนาคม 2553 ทั้งเดือน ราคาปิดต่ำสุดอยู่ที่ 4.26 บาท ในวันที่ 8 มีนาคม และปิดสูงสุด 5.70 บาทในวันที่ 23 มีนาคม ในเดือนเมษายน ราคาปิดต่ำสุดก็คือ 4.88 บาท ในวันที่ 29 เมษายน

ส่วนราคาปิดสูงสุดก็คือ 5.75 บาทในวันที่ 7 เมษายน ส่วนเดือนพฤษภาคม ราคาปิดต่ำสุดก็คือ 4.92 บาท ในวันที่ 25 พฤษภาคม ส่วนราคาปิดสูงสุดก็คือ 5.25 บาทเท่านั้นในวันที่ 11 พฤษภาคม ที่สำคัญในเดือนมิถุนายนเอง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึงวันที่ 11 มิถุนายน ราคาปิดในแต่ละวันอยู่แค่

5.00 บาท – 5.50 บาทเท่านั้นเอง ราคาหุ้นไทยคมมามีการซื้อขายคึกคักก็เมื่อวันจันทร์ที่ 14 มิ.ย. โดยราคาดีดตัวขึ้นถึง 1.60 บาท จาก 5.45 บาท มาปิดที่ 7.05 บาท หรือเพิ่มขึ้นชนเพดาน 29.36% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายทะลักสูงสุดติดท็อปไฟว์ ต่อมาวันที่ 15 มิ.ย.ราคายังถูกไล่ขึ้นไปอย่างร้อนแรงถึง 8.20 บาท

ก่อนจะถูกกดลงมาปิดตลาดที่ 7.20 บาท จนเกิดคำถามตามมาในแวดวงนักลงทุนกันอย่างอื้ออึงว่าเกิดอะไรขึ้น การให้ข่าวของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ และนายจุติ เป็นเรื่องที่เหมาะสมเพียงใด!!! เพราะไม่เพียงราคาหุ้นที่ขยับขึ้นแค่ระยะเวลา 2 วัน แต่ขึ้นไปร่วม 40% โดยเป็น

การซิลลิ่ง 1 วัน แต่วอลุ่มการซื้อขายก็พุ่งพรวดด้วย ทั้งๆที่ปลายเดือนพฤษภาคม ต่อเนื่องต้นเดือนมิถุนายน วอลุ่มการซื้อขายหุ้นไทยคม อยู่แค่ระดับวันละประมาณ 700,000 -800,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายก็ประมาณ 2 ล้านบาท – 3 ล้านบาทต่อวันเท่านั้น แต่ในวันที่ 14 มิถุนายน วอลุ่มการซื้อขายพรวดไป

124,934,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 825.58 ล้านบาท และยิ่งในวันที่ 15 มิถุนายน วอลุ่มการซื้อขายยิ่งสูงโด่งไปเป็น 175,779,100 หุ้น คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 1,346.86 ล้านบาท!!! สุดท้ายราคาหุ้นไทยคมในวันที่ 16 มิถุนายน ก็ได้ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก กดราคาทรุดตัวลงมาปิดตลาดที่ 6.50 บาท ลดลง 0.70 บาท

หรือลดลง 9.72% ทำเอา”ไอ้โม่ง”ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้รวยกันเป็นร้อยๆล้านในชั่วพริบตาเดียว?? เกิดอะไรขึ้น???... ปั่นหุ้นหรือไม่???... มีใครฟาดส่วนต่างราคาหุ้นจนพุงปลิ้นไปบ้าง??? เป็นคำถามที่เกิดขึ้น และกระทบต่อภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ นายกรณ์ นายศิริโชค และแม้แต่กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์เองเต็มๆ

เพราะเรื่องนี้ตัวละครที่เกี่ยวข้องวนเวียนอยู่เฉพาะในพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แม้ว่านายอภิสิทธิ์ จะออกมาแก้ต่างเสียงครหาว่าถือเป็นการอินไซเดอร์ข้อมูล และมีคนได้รับผลประโยชน์จากกรณีดังกล่าวหรือไม่ ว่าไม่มี เพราะวันนี้ยังไม่ได้ลงไปในรายละเอียดว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ และราคาควรเป็นเท่าไหร่

พร้อมกับย้ำว่ากรณีการเจรจาเรื่องดาวเทียมไทยคมกับเทมาเส็กไม่ได้มีการตัดสินใจ ยังเป็นเพียงแค่การศึกษาเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงการไปคุยมา ไม่ใช่การเจรจาซื้อขาย “ถ้าใครได้ผลประโยชน์และได้มาโดยไม่ชอบก็จะดำเนินการตามกฎหมาย” นายอภิสิทธิ์ขู่ เช่นกันกับนายกรณ์ ซึ่งอ้างว่าที่ฝ่ายค้านระบุว่า

มีบุคคลตัวย่อ ก และ ศ ปั่นหุ้น หลังปล่อยข่าวรัฐบาลจะซื้อคืนดาวเทียมไทยคมนั้น หน้าที่การตรวจสอบการปั่นหุ้นเป็นของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ กลต. จึงต้องปล่อยให้ทั้ง 2 หน่วยงานดังกล่าวทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน “ตั้งแต่เดินทางไปชี้แจงกับเทมาเส็ก ที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา

หุ้นของไทยคม ไม่ขยับและยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ในราคาหุ้นละ 5-5.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 31 ล้านบาท จึงพิสูจน์ได้ว่าที่ผ่านมา ผมไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ไม่ได้มีการเข้าไปดักซื้อหุ้น ทั้งที่รู้ข้อมูลภายในว่ามีแนวโน้มที่จะดำเนินการอย่างไรกับบริษัทไทยคม” นายกรณ์ระบุ ขณะที่

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ตามกฎหมายหลักทรัพย์ ระบุไว้ชัดเจนว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้ที่ล่วงรู้ ข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น ได้นำข้อมูลที่ล่วงรู้ไปใช้ประโยชน์ในการซื้อขายหุ้นหรืออินไซเดอร์เทรดดิ้ง

ถือว่ามีความผิดชัดเจน แต่หากว่าให้คนอื่นเป็นผู้ใช้อินไซเดอร์ฯ ก็ต้องหาทางเชื่อมโยงหากมีข้อสงสัย เช่น นาย ก.หรือนายข.ซึ่งอยู่นอกวงการแล้ววิ่งเข้าไปซื้อหุ้นจนผิดปกติ ก็น่ามีข้อสงสัยหรือเป็นไปได้ว่าอาจจะได้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการเจาะลึกเข้าไปตรวจสอบการเชื่อมโยง อย่างไรก็ตาม

ถึงแม้ว่านายกรณ์ จะออกมาระบุว่ายินดีให้มีการตรวจสอบการปั่นหุ้นไทยคม หากตกอยู่ในข้อสงสัยของสังคม แต่ปรากฏว่าในส่วนของเว็บบอร์ดของกลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้นห้องสินธร ในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงกรณีดังกล่าวว่า อาจจะเป็นการสร้างข่าวเพื่อทำราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

กรณีของไทยคมนั้นไม่ใช่เป็นกรณีแรกที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ก็มีกรณีบริษัทค่ายมือถือที่มีการระบุว่าจะไม่มีการฟ้องร้องความเสียหาย เกรงว่าจะทำให้เสียบรรยากาศการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติ ทำให้นักลงทุนได้เข้าไปลงทุนในบริษัทมือถือ ต่อมากลับมีกระแสข่าวการฟ้องร้องแก้สัมปทานมือถือ

เรียกเงินจำนวน 130,000 ล้านบาทคืน ได้สร้างผลกระทบให้หุ้นบริษัทมือถือ และนักลงทุนมาก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ก็ยังมี หุ้นของบริษัทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานเครื่องออกหวยออนไลน์ กรณีที่มีการให้ข่าวรื้อฟื้นโครงการหวยออนไลน์ รวมถึงการให้ข่าวการขายหุ้นธนาคารที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลให้กับ

ธนาคารต่างชาติ ก่อนหน้าที่จะมีการขายจริง ดังนั้นกรณีของนายศิริโชค ที่ออกมาให้ข่าวเรื่อง การซื้อคืนดาวเทียมอย่างโจ๋งครึ่ม และมีการระบุด้วยว่าได้มีโอกาสไปเจรจากับเทมาเสกร่วมกับนาย กรณ์ที่สิงคโปร์ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ให้สัมภาษณ์ยืนยันความต้องการในการเข้าซื้อดาวเทียมของรัฐบาลไทยเช่นกัน

บรรดานักลงทุนจึงมีการด่ากันระงมไปหมด เพราะในแง่ของธุรกิจ การจะซื้อไทยคมนั้น ไม่ใช่การไปซื้อของในเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่สะดวกซื้อ แถมคนขายยังจะถามว่า “รับขนมจีบ ซาละเปา เพิ่มมั้ยคะ” เพราะนี่คือการซื้อหุ้น ซื้อกิจการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้งนักลงทุน

ทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ และต่างประเทศ เห็นได้จากที่นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีที่ รมว.คลังชี้แจงว่ารัฐบาลต้องการซื้อเฉพาะดาวเทียมไทยคม ไม่ได้ต้องการ ซื้อกิจการบริษัทไทยคมว่า

ไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้หรือไม่? เบื้องต้นตอบได้ เพียงว่า ดาวเทียมที่ไทยคมยิงขึ้นไปทั้งหมด ได้ถูกโอนไปให้เป็นสมบัติของชาติภายใต้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แล้ว ไทยคมจึงไม่ได้เป็นเจ้าของดาวเทียม แต่เป็นผู้บริหารจัดการภายใต้สัมปทานที่ได้รับจากไอซีที

“เราไม่น่าจะสามารถขายหรือโอนสิทธิในการบริหารหรือจัดการ ดาวเทียมต่อได้ ตามสัญญาสัมปทานไม่ได้ระบุให้ สามารถโอนหรือขายให้ใคร หากต้องการซื้อจริง น่าจะต้องซื้อหุ้นบริษัทไทยคมมากกว่า” นายสมประสงค์ยังกล่าวด้วยว่าได้หารือกับนายบุน สวอน ฟู บอร์ดบริษัทชินคอร์ป ในฐานะ

ตัวแทนบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อขอความเห็นในเรื่องนี้แล้ว ผู้ถือหุ้นยืนยันต้องการความชัดเจนว่า รัฐบาลไทยต้องการซื้ออะไรและอย่างไร ส่วนกระบวนการซื้อก็ต้องเป็นไปตามแนวทางของธุรกิจ ทั่วไป นั่นคือต้องผ่านการพิจารณาของบอร์ดทั้ง 2 บริษัท ทั้งชินคอร์ปและไทยคม ฉะนั้น เรื่องนี้เปลืองตัวเปลือง

ภาพลักษณ์ที่ขาวสะอาดของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนี้ไปเต็มๆ เพราะสังคมหุ้นถึงขณะนี้ ไม่มีใครเชื่อว่า... ไม่มี “ไอ้โม่ง”ได้ผลประโยชน์ ส่วนเรื่องการตรวจสอบที่ว่าเป็นหน้าที่ของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ กลต.นั้น ก็ไม่มีใครหวังว่าจะได้ผลอะไร เพราะยังไม่ทันไรก็มีการให้ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว่า ยังไม่พบประเด็นการปั่นหุ้น

แต่อย่างใด!!! แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ นายกรณ์ ในฐานะรัฐมนตรีคลังนั้น เป็นประธาน กลต. โดยตำแหน่ง ฉะนั้นหากจะสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุน และสังคม นายกรณ์ก็ควรจะทำให้การตรวจสอบดูโปร่งใส ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีคลังก่อนไม่ดีกว่าหรือ?!?